การที่ประเทศหนึ่งๆ มีการเลือกตั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นประชาธิปไตย เพราะหากกลุ่มอำนาจเก่าสามารถแทรกแซงการเลือกตั้ง บั่นทอนอานุภาพของเสียงประชาชน ประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ย่อมไม่เกิดขึ้น

เมื่อเรามองดูอินโดนีเซียในตอนนี้ เราจะเห็นว่าอินโดนีเซียเป็นประเทศประชาธิปไตย ดูได้จากดัชนีประชาธิปไตยของ V-Dem ในปี 2024 ที่จัดหมวดหมู่ให้ให้อินโดนีเซียเป็นประเทศประชาธิปไตยแบบ Electoral democracy คือ ประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งและการบริหารประเทศที่น่าพึงพอใจอย่างสม่ำเสมอ (ส่วนประเทศไทยถูกจัดเป็น Electoral autocracy ประเทศอำนาจนิยมที่มีการเลือกตั้ง)

อย่างไรก็ตามอินโดนีเซียไม่ได้เป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่แรก และประชาธิปไตยของพวกเขาก็ไม่ใช่อะไรที่เกิดขึ้นง่ายๆ นะครับ

นับตั้งแต่ได้รับเอกราช พวกเขาก็ได้ถูกปกครองโดยระบอบเผด็จการและมีปัญหาการโกงการเลือกตั้งอยู่เสมอ

เริ่มต้นโดย ซูการ์โน ประธานาธิบดีคนแรกของอินโดนีเซียที่ต้องการปกครองประเทศในช่วงแรกให้มีเสถียรภาพและมุ่งสร้างความเป็นเอกภาพของชาติ จึงได้ใช้ระบบประชาธิปไตยแบบชี้นำ (Guided democracy) เพื่อทำให้ตนเองมีอำนาจเบ็ดเสร็จและปกครองอินโดนีเซียโดยระบอบเผด็จการ

แต่เมื่อซูการ์โนไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางการเมืองภายในได้ ซูฮาร์โตจึงใช้โอกาสเข้ามามีอำนาจทางการเมืองตั้งแต่ปลายปี 1965 และดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในปี 1968

ซูฮาร์โตสถาปนายุคสมัยของตนเองว่า ยุคระเบียบใหม่ (New Order) ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมการลงทุนและรับความช่วยเหลือจากต่างชาติ โดยเฉพาะการเป็นพันธมิตรกับมหาอำนาจตะวันตกอย่างสหรัฐฯ ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ช่วงยุคสงครามเย็น ร่วมยุคกับสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกฯ ของไทย และเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ปธน. ของฟิลิปปินส์

ในยุคแรกๆ ของรัฐบาลซูฮาร์โต อินโดนีเซียเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในด้านอุตสาหกรรม มีการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด และระดับการศึกษาที่ดีขึ้น ซูฮาร์โตจึงได้รับการขนานนามว่า “บิดาแห่งการพัฒนาอินโดนีเซีย” (bapak pembangunan)

หากแต่ยุคระเบียบใหม่ของซูฮาร์โตได้ปกครองแบบเผด็จการ สิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกลิดรอน สื่อมวลชนไม่สามารถรายงานข่าวหรือแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ แม้ว่าในยุคของซูฮาร์โตจะมีการจัดการเลือกตั้งก็ตาม

นอกจากนั้นระบอบซูฮาร์โตยังฉาวโฉ่ด้วยปัญหาการทุจริตคอรร์รัปชัน ที่ตัวของซูฮาร์โตเอาครอบครัวและพวกพ้องเข้าไปนั่งดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองและยักยอกงบประมาณจากภาษีประชาชนไปมากมาย

ระบอบซูฮาร์โตยืนนานถึง 32 ปี ผ่านการสนับสนุนของกลุ่มชนชั้นสูงและกองทัพที่มีอำนาจทางการเมือง พวกเขาทำการโกงการเลือกตั้ง ทั้งวิธีการตั้งพรรคการเมืองสืบทอดอำนาจลงเลือกตั้งและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล การใช้กฎหมายจำกัดจำนวนพรรคการเมืองไม่ให้มีพรรคฝ่ายค้านใหญ่เกินไป รวมไปถึงการตั้งทหารจำนวน 100 คน เป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) เพื่อช่วยโหวตให้ซูฮาร์โตยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

แต่ “จุดเปลี่ยน” ของอินโดนีเซียมาถึงเมื่อ เกิดวิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย หรือ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 1997 ซึ่งเริ่มต้นจากประเทศไทย วิกฤตนี้ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ ทั่วเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ รวมไปถึงอินโดนีเซีย

ตอนแรกผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินประเมินว่าอินโดนีเซียจะสามารถแก้ไขปัญหาและผ่านวิกฤติไปได้ แต่ระบบเศรษฐกิจของอินโดนีเซียกลับพังทลายลงจากการลอยตัวค่าเงินรูเปียห์และพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอทำให้ธนาคารและธุรกิจล้มละลายเป็นอันมาก ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้นมาก คนว่างงานมีจำนวนมากขึ้น ประชาชนอินโดนีเซียเดือดร้อนอย่างหนักจากวิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลอินโดนีเซียจำเป็นกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และยอมรับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

แต่ซูฮาร์โตก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ความไม่พอใจของประชาชนที่อยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการอย่างยาวนานก็ได้ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง จนกลายเป็นกระแสการชุมนุมเพื่อขับไล่ซูฮาร์โตและเรียกร้องการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะด้านการเมืองและกองทัพ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 1998 จนกลายเป็นการจลาจลครั้งใหญ่ทั่วประเทศ ซูฮาร์โตจึงจำเป็นต้องลาออกเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 1998 หลังจากนั้น อินโดนีเซียได้เข้าสู่ “ยุคปฏิรูป” ในทุกด้าน โดยเฉพาะการปฏิรูปการเมืองและกองทัพ

อินโดนีเซียมีการปฏิรูปการเมือง คือ การกำหนดให้อำนาจประธานาธิบดีลดน้อยลง มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีโดยตรงจากประชาชน มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ท้องถิ่นต่างๆ สามารถเลือกตั้งผู้บริหารทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอได้ สามารถจัดการทรัพยากรภายในจังหวัดของตนโดยมีการกำหนดสัดส่วน ไม่ได้ผูกขาดการจัดการโดยส่วนกลาง

ส่วนการปฏิรูปกองทัพเกิดขึ้นได้จากตัวของกองทัพที่ยอมปฏิรูปตัวเองและความพยายามของรัฐบาลพลเรือนในการปฏิรูปกองทัพ จึงทำให้ทหารไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้โดยตรงอีกต่อไป หากจะเล่นการเมืองต้องสังกัดพรรคการเมืองและลงสมัครรับเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามกองทัพอินโดนีเซียยังคงมีบทบาทสำคัญทางการเมืองในด้านเศรษฐกิจ แต่ก็อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลพลเรือน

อินโดนีเซียจึงกลายเป็นประเทศประชาธิปไตยเต็มใบ และได้รับเสียงชื่นชมในการพัฒนาประเทศจนกลายเป็นที่ถูกจับตามองในแง่การลงทุน โดยปัจจุบัน ดัชนีประชาธิปไตยโดย V-Dem ได้จัดอันดับให้อินโดนีเซียอยู่อันดับที่ 80 ของโลก จาก 179 ประเทศ โดยที่อินโดนีเซียถือเป็นประเทศประชาธิปไตยแบบ Electoral democracy คือ ประชาธิปไตยที่มีการจัดการเลือกตั้งที่น่าพึงพอใจอย่างสม่ำเสมอ (ส่วนประเทศไทยอยู่อันดับที่ 125 และถูกจัดเป็น Electoral autocracy ประเทศอำนาจนิยมที่มีการเลือกตั้ง โดยมีคะแนนวัดผลความเป็นประชาธิปไตยด้อยกว่าเกือบทุกด้าน ยกเว้นด้าน Egalitarian-ความเสมอภาค)

ใครจะไปเชื่อว่า วิกฤติต้มยำกุ้งซึ่งเริ่มต้นในประเทศไทยจะได้สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจไปยังประเทศต่างๆ ทั่วเอเชีย และทำให้อำนาจของซูฮาร์โตที่เคยปกครองแผ่นดินอินโดนีเซียมาอย่างยาวนานกว่า 32 ปี ต้องสิ้นสุดลง และเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างระบอบประชาธิปไตยในอินโดนีเซีย
:::: :::: :::: ::::
อย่างไรก็ตาม คนอินโดนีเซียจำนวนไม่น้อยก็หวนคิดถึงยุคสมัยของซูฮาร์โต และต้องการผู้นำที่เข้มแข็งและเด็ดขาด พวกเขาจึงสนับสนุนปราโบโว ซูเบียนโต อดีตนายทหารและลูกเขยซูฮาร์โต จนชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และทำให้ปราโบโวจะได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีอินโดนีเซียในวันที่ 20 ตุลาคม 2024

#TWCHistory #TWCIndonesia #TWC_Rama