เมื่อทางการสหรัฐฯ สืบสวนจนได้ข้อสรุปว่า กลุ่มอัลกออิดะห์ (หรือเราจะเรียกว่าอัลเคดา) ที่นำโดย อุสามะห์ บิน ลาดิน (หรือเราจะเรียกว่าบินลาเดน) เป็นผู้อยู่เบื้องหลังวินาศกรรม 9/11 กระแสความเกลียดชังศาสนาอิสลามในอเมริกาและยุโรปก็พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

ชีวิตของชาวอเมริกันมุสลิมเหมือนดิ่งลงเหว แม้ก่อนหน้าที่จะเคยถูกเหยียดบ้าง แต่ไม่มีครั้งไหนเลวร้ายเท่าหลังจากปี 2001

เราจะมาย้อนดูไปด้วยกันว่ามุมมองของคนอเมริกัน รวมทั้งชาติยุโรปอื่นๆ ต่อชาวมุสลิมเปลี่ยนไปแค่ไหน และชาวมุสลิมที่มิได้หัวรุนแรงนั้นต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างไรบ้างในเหตุการณ์นี้…

จุดเริ่มต้นของความเกลียดชัง

จริงอยู่ว่าเหตุการณ์ 9/11 ทำให้ความเกลียดชังชาวมุสลิมในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูง แต่ก่อนหน้านั้นกระแสก็มีมาเรื่อยๆ

…นับแต่ตอน “อยาตอลเลาะห์ โคไมนี” ผู้นำกลุ่มเคร่งศาสนานิกายชีอะห์ขึ้นมาปกครองอิหร่านในปี 1979 แล้วตัดสัมพันธ์กับอเมริกาแล้วเรื่องนี้ทำให้หลายคนมองภาพศาสนาอิสลามในแง่ลบ

ต่อมามีชายชื่อบินลาเดนมองว่าอเมริกาเป็นศัตรูกับอิสลาม เพราะคอยช่วยยิว (อิสราเอล) กดขี่ชาวปาเลสไตน์ ทั้งยังอยู่เบื้องหลังการแทรกแซงชาติมุสลิมต่างๆ ทั่วโลก

เช่น ตอนทำสงครามอ่าวที่อิรัก แม้ได้รับชัยไปแล้ว แต่สหรัฐฯ ยังไม่ยอมถอนทหารออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของอิสลามอย่างประเทศซาอุดิอาระเบีย

บินลาเดนจึงนำกลุ่มก่อการร้ายของเขาชื่ออัลเคดาโจมตีผลประโยชน์ของอเมริกาในดินแดนต่างๆ มาตลอดยุค 90s ยกตัวอย่างเช่น การวางระเบิดสถานทูตอเมริกาในเคนยาและแทนซาเนีย

แน่นอนว่ากรณีใหญ่ที่สุด ก็คือการก่อวินาศกรรม 9/11 ใจกลางมหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ เอง ซึ่งทำให้ชาวมุสลิมต้องเผชิญความชิงชังมาตลอด 20 ปี…

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

ผู้เสียชีวิตคนแรกจากอาชญากรรมความเกลียดชังชาวมุสลิมหลังเหตุ 9/11 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2001

นาย บัลบีร์ สิงห์ โสติ โดนชายผิวขาวนาม แฟรงก์ โร้คยิงตาย …ซึ่งจริงๆ เป็นความย้อนแย้ง เพราะเขานับถือศาสนาซิกข์ แต่กลับต้องตายเพราะโร้คแยกการโพกผ้าแบบซิกข์ไม่ออก

โร้คนั้นประกาศเจตนารมณ์ว่า “จะไปฆ่าไอ้พวกโพกหัว” และ “ต้องฆ่าเด็กด้วย เพราะเดี๋ยวโตมาเป็นแบบพ่อแม่มัน” หลังจากฆ่าบัลบีร์ สิงห์ โสติแล้วเขายังไปยิงชาวอาหรับที่อื่นต่ออีกในวันเดียวกัน

นายโร้คถูกตำรวจจับได้ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเขาก็ได้แต่ตะโกนว่า “กูทำเพื่ออเมริกานะโว้ย!” และว่า มีเสียงบอกให้เขา “ฆ่าพวกปีศาจ” ซึ่งเขาโดนตัดสินประหาร แต่สุดท้ายก็ลดโทษลงเหลือแค่เพียงจำคุกตลอดชีวิต

…จากนั้นมีคดีชาวมุสลิมโดนโจมตีทั้งทางร่างกายและจิตใจ 500 กว่าคดีในสหรัฐ โดยก่อนหน้านั้น ไม่เคยมีถึง 100 คดีต่อปีด้วยซ้ำ… (อ้างจากรายงานของ FBI ในปี 2001)

สิทธิที่หายไป

หลังเริ่มต้นสงครามอัฟกานิสถานไปไม่ถึงเดือน รัฐสภาสหรัฐได้ประกาศ Patriot Act หรือที่เคยมีการแปลไว้ว่า “รัฐบัญญัติรักปิตุภูมิ” เพื่อป้องกันเหตุก่อการร้าย

จากบัญญัตินี้ ทำให้หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐลดระเบียบแบบแผนที่เคยมี เอื้อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างทันท่วงทีหากเกิดเหตุร้าย

แต่ในขณะเดียวกัน บัญญัติก็ช่วยให้หน่วยงานสอดส่องประชาชนได้มากขึ้น เช่น อนุญาตให้ดักฟังโทรศัพท์, ตรวจสอบอีเมล, หรือค้นอาคารบ้านเรือนประชาชนโดยไม่ต้องมีหมาย ทำให้กฎนี้ได้รับเสียงต่อต้านพอสมควร

แน่นอนว่าคนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดก็ไม่พ้นคนมุสลิม พวกเขาโดนคนสอดแนม เพราะ “หน้าตาดูอันตราย” หลายคนโดน FBI สอบสวนโดยไร้มูลเหตุ (นอกจากที่ว่าเขาเป็นมุสลิม)

ตามสนามบินนั้น ชาวมุสลิมก็ถูกตรวจสอบเยอะกว่าคนทั่วไป บางทีแม้ตรวจแล้วก็ยังถูกห้ามใส่ฮิญาบ (ที่คลุมศีรษะแบบมุสลิม) ขึ้นเครื่อง

…นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าชาวมุสลิมถูกใช้ความรุนแรงใส่ออกมาหลายครั้ง…

แม้แต่คนมุสลิมที่เป็นทหารในกองทัพสหรัฐฯ ก็ยังโดนปฏิบัติไม่ดีใส่หลายกรณี เช่น นาวิกโยธินคนหนึ่ง โดนครูฝึกเรียกว่า “ไอ้ผู้ก่อการร้ายอัลเคดา”, มีการเรียกอิสลามเป็นศาสนาซาตาน, และมีการฉีกทำลายคัมภีร์อัลกุรอาน

บังคับให้เลือกข้าง

หากศึกษาคำพูดของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้นำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย และบินลาเดนแล้ว จะพบว่าทั้งสองนั้นพูดคล้ายกัน

…ทั้งคู่ต่างบีบให้โลกต้องเลือกข้าง ไม่ใช่มิตร ก็เป็นศัตรู ไม่มีตรงกลาง…

เหตุนี้สร้างความลำบากแก่ผู้นับถืออิสลามสายกลางมาก แม้ที่ผ่านมาพวกเขาจะปรับตัวเข้ากับสังคม หรือต่อต้านความรุนแรงอย่างไร แต่ก็โดนเหมารวมบีบบังคับด้วยความเกลียดชัง

บางคนที่ทนได้ก็ทนต่อ แต่คนทนไม่ได้ ตอนท้ายกลายเป็นพวกหัวรุนแรงไปก็มี

เปลี่ยนศาสนา

จากการก่อการร้ายนับแต่ 9/11 เป็นต้นมา มีผู้สนใจศาสนาอิสลามมากขึ้นทั้งในแง่บวกและแง่ลบ

พวกมุสลิมหัวรุนแรงก็พากันเข้าร่วมกลุ่มก่อการร้ายสากล หรือเลียนแบบการกระทำของอัลเคดา เช่นกลุ่มอันศรอัลอิสลามหรือ AAI ในเคอร์ดิสถานอิรัก เป็นต้น

แต่ในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็ทำให้ศาสนาอิสลามได้รับความสนใจมากขึ้น และเมื่อมีคนมาศึกษาศาสนาอิสลามอย่างจริงจังแล้ว ก็มีคนที่เปลี่ยนศาสนาเป็นมุสลิมเพิ่มขึ้นด้วย

เพราะแท้จริงศาสนาอิสลามย่อมมีหลักคำสอนที่ดีในตัวเอง หากแต่ถูกผู้ก่อการร้ายตีความอย่างสุดโต่ง

ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เห็นด้วย
นั่นทำให้จำนวนคนมุสลิมในอเมริกาเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2000 – 2010 ถึงประมาณ 67% จากจำนวนประชากรมุสลิมเดิม

ISIS เรืองอำนาจ

ในปี 2011 สหรัฐฯ นำโดยประธานาธิบดี บารัก โอบามา จัดการสังหารบินลาเดนได้สำเร็จ แต่ลัทธิก่อการร้ายไม่ได้สิ้นลงไปด้วย กลับกันได้มีกลุ่มก่อการร้าย ISIS มีบทเด่นขึ้นมาแทน แย่งชิงอำนาจจากอัลเคดาที่ขาดผู้นำอย่างบินลาเดนไป

…กลุ่ม ISIS หัวรุนแรงกว่าอัลเคดา มีการประชาสัมพันธุ์ดีกว่า รบพุ่งดุร้ายได้ผลมากกว่า ด้วยเหตุนี้กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงจึงเข้ามาสวามิภักดิ์ไอซิสเป็นจำนวนมาก…

ความรุนแรงของสงครามในตะวันออกกลาง ทำให้มีชาวมุสลิมอพยพเข้าสหภาพยุโรปเป็นจำนวนมาก และทำให้ประชากรชาวมุสลิมในยุโรปเพิ่มขึ้นนับล้านคน

ชาวยุโรปมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้แตกเป็นหลายฝ่าย บางฝ่ายก็เห็นอกเห็นใจผู้อพยพ แต่บางฝ่ายก็รังเกียจว่ามาแย่งงาน และสร้างปัญหา เกิดเป็นกระแสเกลียดชังชาวมุสลิมในหลายประเทศ เช่น อิตาลี กรีซ สเปน ฯลฯ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดในสหรัฐฯ

ความดังของ ISIS ทำให้ตอนนั้นมีชาวยุโรปหลายคนที่มีปัญหาเบื่อหน่ายความจอมปลอมไร้สาระของสังคมที่ตนอยู่ ตัดสินใจเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลาม เพื่อไปเข้าสวามิภักดิ์ ISIS โดยเฉพาะ

คนเหล่านี้มักมีเหตุผลส่วนตัว เช่น พ่อแม่หย่ากัน, โดนเพื่อนแอนตี้ ฯลฯ ทำให้รังเกียจสังคมเดิม พวกเขาอยากออกไปผจญภัย แสวงหาการยอมรับในโลกใหม่

พวกเขามองว่า ISIS เป็นคำตอบ เพราะเป็นที่ยืนหยัดต่อสู้กับโลก เพื่อความสิ่งที่ตัวเองศรัทธา …ช่างเท่ และโรแมนติกเหลือเกิน…

ตัวอย่างคนที่เข้ามาร่วมกับไอซิสเพราะเหตุนี้เช่น ลีโอนอรา เมซซิง เด็กสาวชาวเยอรมันอายุเพียง 15 ปี พ่อแม่ของเธอแยกทางกัน แม้พ่อจะดูแลอย่างดี เธอก็ตกหลุมรักชายหนุ่มไอซิสชื่อ นิหัด เลยยอมเปลี่ยนศาสนา แล้วหนีไปซีเรีย

อยู่ไปสักพักเธอพบความจริงว่าพวก ISIS นั้นโหดร้ายทารุณ สังคมที่เธออยู่นั้นเหยียดเพศอย่างแรง จึงทนไม่ไหวอยากหนีกลับบ้าน

แต่เมื่อเรียกให้พ่อมาช่วยก็ช่วยไม่สำเร็จ ต้องทนอยู่จนเมืองรักกาซึ่งเป็นเมืองหลวงของไอซิสแตก จึงระหกระเหินหนีมาได้

ลีโอนอราอยากกลับไปใช้ชีวิตปกติ แต่ผู้คนก็หวาดกลัวเธอ และคิดว่าเธอควรจะถูกลงโทษที่ไปสวามิภักดิ์กลุ่มก่อการร้ายโดยมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนดี.

20 ปีผ่านไป และการกลับมาของตาลีบัน

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา นับจากเหตุการณ์ 9/11 ชาวมุสลิมจำนวนมาก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ยังต้องเผชิญการถูกเหยียดหรือถูกจับตามองด้วยความเป็นอื่นอยู่ตลอด

จากผลสำรวจโดย Pew Research ในปี 2019 ชาวมุสลิม 82% เคยถูกเหยียด และล่าสุดในปี 2021 ของ AP-NORC ระบุว่า ผู้คนยังมองศาสนาอิสลามในแง่ลบอยู่เกินกว่าครึ่ง (53%)

ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตาลีบันที่เคยหมดอำนาจไปเมื่อหลายปีก่อน กลับมายึดอัฟกานิสถานได้อีกครั้ง พร้อมบังคับใช้กฎหมายศาสนาอย่างเคร่งครัด

แถมขณะสหรัฐฯ จะถอนทหารกลับ ยังเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายจากกลุ่ม ISIS-K หรือ ISIS สาขาอัฟกานิสถาน ทำให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อย โดยจำนวนนั้น 13 คนเป็นทหารอเมริกัน

…ทั้งหมดยิ่งสร้างความร้าวลึก ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิดกระแสการรังเกียจศาสนาอิสลามอีก

สรุป

จนถึงปัจจุบัน ชาวมุสลิมยังถูกบังคับให้เลือก ว่าจะพยายามอดทนอยู่ในสังคมที่เหยียดหยามและมีข้อบังคับเฉพาะทางศาสนามากมาย หรือจะเข้าร่วมกับกลุ่มก่อการร้าย เพื่อโต้ตอบการกดขี่ที่ประสบมา แม้พวกเขาส่วนมากจะไม่ได้เห็นด้วยกับคนที่อ้างศาสนาเพื่อประกอบกรรมชั่วเลยก็ตาม

ทั้งนี้ก็เพราะชาวมุสลิมเหล่านั้นถูกบีบบังคับอย่างถึงที่สุดแล้วนั่นเอง

ด้วยเหตุผลนี้ สังคมรอบข้างควรเปิดใจพยายามทำความเข้าใจคนมุสลิมและศาสนาอิสลามให้มากขึ้น ไม่ใช่ผลักไสออกห่างไปเป็นอย่างอื่นหรือเป็นชนกลุ่มน้อยเช่นทุกวันนี้

เพราะสังคมที่เกลียดชังความรุนแรงและชิงชังผู้ก่อการร้าย ทว่าโต้ตอบโดยการเหยียดคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถูกตั้งข้อสงสัยเพียงเพราะความแตกต่าง ก็ไม่ต่างอะไรกับแนวทางที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายปฏิบัติต่อคนต่างศาสนาเลย

…ซึ่งสุดท้าย การกระทำเหล่านี้ ก็กลายเป็นการสร้างความบาดหมางอันไร้ที่สิ้นสุด บีบบังคับให้ชาวมุสลิมมากมายกลายเป็นพวกหัวรุนแรง สร้างความเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเรื่อยไป…