ล่าสุดตลาดหุ้นนิกเกอิของญี่ปุ่นสามารถทำจุดสูงสุดใหม่เหนือ 38,915.87 จุดเมื่อปี 1989 ได้แล้ว หลังจากไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2023 เหตุการณ์นี้บ่งบอกอะไรเกี่ยวกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นหรือไม่?

แน่นอนอย่างแรกคือดัชนีขึ้นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ว่าบริษัทญี่ปุ่นจะสามารถทำกำไรและสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้

ต่อมาคือมาตรการของทางการญี่ปุ่นที่เข้าไปจัดการกับบริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่นั่งทับเงินเฉยๆ ให้มีการจ่ายเงินปันผลและซื้อหุ้นคืนมากขึ้น ทำให้ความต้องการซื้อหุ้นมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่นนี้เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ไม่ได้มีข่าวดีอะไรมากมายมาตั้งแต่ปี 2023 เลย อาจเรียกได้ว่าเป็นการแห่เข้ามาซื้อหุ้นของต่างชาติมากกว่า…

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้หุ้นญี่ปุ่นได้รับความสนใจเพราะค่าเงินเยนของญี่ปุ่นอ่อนค่า ทำให้เงินตราต่างประเทศสามารถแลกซื้อเงินเยนได้มาก และทำให้ราคาหุ้นสำหรับชาวต่างชาติถูกลงไปด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่นักลงทุนมือฉมังอย่างวอร์เรน บัฟเฟตเข้าซื้อหุ้นญี่ปุ่น หรือแม้แต่นักลงทุนญี่ปุ่นเองก็รู้สึกว่าสินทรัพย์ต่างประเทศแพงขึ้น จึงหันกลับมาลงทุนในประเทศนั่นเอง

แต่พื้นฐานเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ ปัญหาเรื้อรังของเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั่นคือ “บริษัทซอมบี้” คือบริษัทที่ไม่สามารถทำกำไรได้ และอยู่รอดได้ด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากธนาคาร แต่ปัญหาคือในอนาคตธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจต้องขึ้นดอกเบี้ยและอาจทำให้บริษัทเหล่านี้ไม่สามารถใช้เงินคืนได้จนล้มละลายในที่สุด

ปัญหา “บริษัทซอมบี้” เหล่านี้คือสิ่งที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นสาเหตุของ “ทศวรรษที่สาบสูญ” (Lost Decades) ของญี่ปุ่นหลังจากฟองสบู่แตกเมื่อปี 1989 โดยหลังจากนั้นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำเตี้ยมาโดยตลอด

นอกจากนี้ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างการไม่มีการออกนวัตกรรมใหม่ที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำ ระบบการศึกษาของญี่ปุ่นยังไม่สามารถผลิตทุนมนุษย์ที่สร้างนวัตกรรมได้มากขนาดนั้น (คือยังถือว่าดี แต่ไม่พัฒนาตามคนอื่นไม่ทัน) และยังเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ

ทั้งหมดนี้คือ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่รอทางการญี่ปุ่นแก้ไข …และการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่นในรอบนี้อาจเป็นเพียง “เงินต่างชาติ” มากกว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ดีขึ้นจริงๆ

#TWCNews #TWCJapan