ภาพประชาชนที่ต้องสูญเสียบ้านที่พวกเขาได้เคยพักอาศัย สูญเสียบุคคลสำคัญที่เคยโอบกอดยามทุกข์ใจ และสูญเสียทุกอย่างไปกับคำว่าสงคราม
การเข่นฆ่า นองเลือด คือสิ่งที่มนุษยชาติไม่เคยหลีกเลี่ยงได้เลยในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ผ่านนับสหัสวรรษ ไม่เว้นแม้แต่ในปัจจุบัน
ทว่าความเป็น “มนุษย์” ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในจิตใจของสงคราม คือการเลือกที่จะไม่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะกับชาวบ้านผู้ไม่มีทางจับอาวุธต่อสู้ แม้พวกเขาเป็นฝ่ายผู้ขัดแย้งของเราก็ตาม
นี่คืออุดมคติที่ผู้คนต่างพากันเชิดชูว่ามีเกียรติ แต่หากไร้ใจที่ต้องการเกียรติ แต่หากเชื่อว่าชื่อเสียงแห่งชัยชนะนำมาซึ่งเกียรติยศ ความชังสายเลือดที่มิใช่ชนชาติของตน ที่แม้จะเป็นมนุษย์เหมือนกันแต่มิใช่มนุษย์ที่เท่ากัน
แนวคิดนี้นำมาซึ่งกองศพของชาวบ้านผู้บริสุทธิ์นี่คือเรื่องราวของ ‘คาซีเมียร์ โดมินิก ฟอน ลึทเกนดอร์ฟ’ นายพลแห่งกองทัพ ออสเตรีย-ฮังการี ผู้เด็ดขาด เลือดเย็น และไร้ซึ่งมนุษยธรรม
____________________________________
1.คาซีเมียร์ โดมินิก ฟอน ลึทเกนดอร์ฟ เขาเกิดในเมืองกราซ ประเทศออสเตรียหรือจักรวรรดิออสเตรียในขณะนั้น โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกขุนนางตระกูลลึทเกนดอร์ฟ ตระกูลชนชั้นสูงของจักรวรรดิออสเตรีย
2.เขาเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยเทเรเซียน ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงในด้านการฝึกนายทหารชั้นสูง ก่อนจะเริ่มรับราชการทหารตั้งแต่ปี 1880 ภายในกองทัพออสเตรีย-ฮังการี และเลื่อนชั้นเป็นนายพลในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
3.ในช่วงต้นของสงครามเขารับหน้าที่คุมกองพลทหารราบที่ 7 แห่งกองทัพออสเตรีย-ฮังการี ก่อนได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบภูมิภาคต่างๆ รวมถึงการรบในแนวรบเซอร์เบีย รัสเซีย อิตาลี และโรมาเนีย
4.เมื่อได้รับหน้าที่ควบคุมแนวรบในเซอร์เบีย จุดเริ่มต้นของความโหดร้ายจึงได้เริ่มต้นขึ้น
เหตุการณ์ครั้งแรกเกิดขึ้นในภูมิภาคซิร์เมียซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ในขณะนั้น ประชากรส่วนใหญ่ของภูมิภาคแห่งนี้เป็นชาวเซอร์เบีย
มีรายงานว่าทหารภายใต้การบังคับบัญชาของเขาฆ่าประชาชนพลเรือนเซอร์เบียราว 3,500 คนภายในสองสัปดาห์แรกของสงคราม
5.เหตุผลที่เขาไม่มีความปรานีต่อชาวเซอร์เบีย เป็นเพราะรัชทายาทลำดับที่หนึ่งแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ได้ถูกลอบปลงพระชนม์โดยนักชาตินิยมหัวรุนแรงชาวเซอร์เบียในเมืองซาราเยโว เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นฉนวนเหตุให้มหาสงครามนี้เกิดขึ้น ซึ่งภายหลังเราเรียกสงครามครั้งนี้ว่า “สงครามโลกครั้งที่ 1”
6.นอกจากการสังหารที่ภูมิภาคซิร์เมียนแล้ว เหตุการณ์โหดเหี้ยมเกิดขึ้นอีกครั้งในเมืองชาบัคของเซอร์เบีย
ลึทเกนดอร์ฟสั่งให้ทหารของเขาจับประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เป็น เด็ก สตรี และผู้สูงอายุมาอยู่รวมกันภายในโบสถ์
ก่อนที่จะพาทั้ง 120 ชีวิตไปทำการสังหารที่สวนของโบสถ์และทำการฝังศพของพวกเขา
7.เมื่อสงครามจบลงความโหดร้ายที่ลึทเกนดอร์ฟทำได้ถูกเปิดเผย เขาถูกระบุชื่อในสนธิสัญญาแซ็ง-แฌร์แม็ง ให้มีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อดำเนินคดีในศาลระหว่างประเทศ
ทว่าไม่มีหลักฐานใดเลยชี้ว่าเขาถูกส่งตัว หรือได้รับโทษดังกล่าว..
8.ในปี 1920 เขาถูกลงโทษให้จำคุก 6 เดือนเนื่องด้วยการสั่งประหารทหารออสเตรีย-ฮังการี 3 นาย โดยไม่มีการพิจารณาคดีที่เหมาะสม แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เคยถูกลงโทษสำหรับการฆ่าพลเรือนผู้บริสุทธิ์
อาจตีความได้ว่าการที่เขาไม่ถูกดำเนินคดีสำหรับเหตุการณ์ชาบัค อาจสะท้อนถึงบริบททางการเมืองในยุคนั้น ซึ่งการลงโทษอาชญากรสงครามยังไม่เข้มงวดเท่ากับในสงครามโลกครั้งที่ 2
9.คาสิเมียร์ ฟอน ลึทเกนดอร์ฟ เสียชีวิตอย่างสงบด้วยอายุ 95 ปี ที่กรุงเวียนนาประเทศออสเตรีย โดยไม่ได้รับโทษที่เขากระทำในสมัยเป็นทหารแต่อย่างใด
10.ภายหลังหลานชายของเขาจะมีส่วนสำคัญในการเมืองของออสเตรีย โดยการขึ้นเป็นรัฐมนตรีกลาโหมออสเตรีย ระหว่างปี 1971-1977
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่คนซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “อาชญากรสงคราม” ไม่เคยได้รับโทษที่พวกเขาก่อขึ้นเช่นเดียวกับ “อีดี้ อามิน” อดีตผู้นำเผด็จการของยูกันดาซึ่งไม่เคยได้รับโทษจากอาชญากรรมที่เขาก่อเช่นกัน
ผู้นำทางทหาร หรือ อาชญากรสงครามคนใด ที่พวกคุณจำได้ว่าเขาได้กระทำอะไร และยังไม่ได้รับโทษในสิ่งที่เขาทำ ร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้ครับ
#TWCHistory #TWCAustria #TWC_Salmon
อ้างอิงภาพ :
vcdns(ดอท)valka(ดอท)cz/attachments/3140/thumbs/Kasimir_von_L__tgendorf__1862-1958_(ดอท)jpeg
d3i6fh83elv35t(ดอท)cloudfront(ดอท)net/newshour/app/uploads/2014/06/SARAJEWO_Attentat-901×1024(ดอท)jpg
0 Comment