นี่คือเรื่องราวช่วงกลียุคของพม่า…
ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากเงาอาณานิคมสู่การเป็นประเทศเอกราช
…ที่คนบางกลุ่มไม่ได้ต้องการให้มันเกิดขึ้นในนามของ “พม่า”
นี่คือห้วงเวลาที่ปัญหาชนกลุ่มน้อยซึ่งเหมือนคลื่นใต้น้ำมาตลอดเริ่มชัดเจน ห้วงเวลาเกิดดับของสัญญาปางโหลงอันโด่งดัง และห้วงเวลาปะทุของสงครามกลางเมืองที่มักไม่ได้รับการพูดถึงในสังคมโลก
เป็นความวุ่นวายที่โยงใยมาจนถึงปัจจุบัน… ซึ่งอาจเกิดมาจากความตายของคนเพียงผู้หนึ่ง…
…นั่นคือ “นายพลอองซาน” วีรบุรุษตลอดกาลของพม่านั่นเอง
ขอเชิญท่านผู้อ่าน รับชมเรื่องราวทั้งหมดในบทความนี้ไปด้วยกัน
ต้นปี 1946 ก่อนหน้านายพลอองซานจะยอมทำสัญญาประนีประนอมกับอังกฤษ และได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 ของพม่าในฐานะอาณานิคมอังกฤษ ตอนนั้นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (CPB) บางคน ที่เคยร่วมมือกันตั้งสันนิบาตต่อต้านฟาสซิสต์เพื่อเสรีชน (AFPFL) กับอองซาน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เริ่มมองว่า อองซาน “ใจอ่อน” กับจักรวรรดิอังกฤษเกินไป ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพม่าให้เป็นคอมมิวนิสต์ได้จริง (อองซานมีพื้นฐานเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน สิ่งนี้มีผลให้รัฐบาลพม่าในยุคสมัยใหม่ใช้แนวทางสังคมนิยมเรื่อยมา)
พวกคอมมิวนิสต์จึงแยกตัวออกจาก AFPFL (ซึ่งตอนนั้นเป็นพรรคการเมืองของอองซาน) คอมมิวนิสต์สายแข็งแยกตัวออกไปตั้งพรรคอุดมการณ์ซ้ายจัด เรียกชื่อลำลองว่า “พรรคธงแดง”
ส่วนคอมมิวนิสต์สายกลางแยกตัวออกไปดำเนินการเองเหมือนกัน ยังคงเรียกตัวเองว่า CPB แต่มีชื่อลำลองว่า “พรรคธงขาว”
…สิ่งนี้จะเป็นหนึ่งในชวนให้เกิดสงครามกลางเมืองพม่าครั้งใหญ่ เป็นสงครามปราบคอมมิวนิสต์เวอร์ชั่นพม่าตามมา…
แต่การเกิดสงครามกลางเมืองพม่าไม่ได้มาจากเพียงปัจจัยเดียว ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ถูกกับรัฐบาลพม่ามาเนิ่นนาน… นั่นคือ ชนกลุ่มน้อย
แต่ไหนแต่ไรมา พม่านั้น ไม่ได้มีแค่พม่า แต่แบ่งเป็นรัฐของชนเผ่าต่างๆ หลายรัฐ ที่มีความขัดแย้งกันเนืองๆ จนกระทั่งอังกฤษเข้ามาตีเขตแดนบริเวณนี้ แล้วพยายามรวมพื้นที่เข้าด้วยกัน
ทว่าในขณะเดียวกันอังกฤษก็ไม่ได้ต้องการให้ชาวพม่าและชนกลุ่มน้อยร่วมมือกันลุกฮือต่อต้านเจ้าอาณานิคม อังกฤษจึงตัดสินใจใช้นโยบาย “แบ่งแยกแล้วปกครอง” แบบที่ใช้มาแล้วทั่วโลก
ในยุคอาณานิคมนั้นอังกฤษเข้ามาบริหารเขตของชาวพม่าโดยตรง เนรเทศวงศ์กษัตริย์พม่าออกนอกประเทศ ส่วนพื้นที่ตามชายแดนหรือภูเขาของชนเผ่าต่างๆ แม้จะต้องอยู่ในอาณัติของอังกฤษ แต่ก็ยังให้สิทธิปกครองตัวเองเช่นเดิม แถมได้รับการดูแลค่อนข้างดี
…ความไม่เท่าเทียมออกนอกหน้าครั้งนี้ สร้างความแค้นแก่ชาวพม่าแท้ๆ เป็นอย่างมาก
นี่เองก็เป็นเหตุให้ชาวพม่าอยากเรียกร้องเอกราชให้แก่ประเทศ ขณะที่กลุ่มอื่นๆ แทบไม่สนใจ หลายกลุ่มไม่อยากให้พม่าเป็นเอกราชด้วยซ้ำ เพราะในตอนที่ชาวพม่า “กู้ชาติ” ก็ได้ฆ่าชนกลุ่มน้อยที่จงรักภักดีกับอังกฤษไปไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นพวกกะเหรี่ยงที่เคยถูกอองซานเข่นฆ่า
นอกจากนั้นทหารญี่ปุ่นซึ่งอองซานสนับสนุนยังไปทารุณกรรมชนกลุ่มน้อย เช่นชาวฉาน (ไทยใหญ่) ตามอำเภอใจ จนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม
มันจึงกลายเป็นความสัมพันธ์ที่มีแต่ความชัง… ทำให้นโยบายแบ่งแยกแล้วปกครองของเจ้าอาณานิคมบรรลุตามเป้าหมาย…
เพียงแต่อังกฤษคงคิดไม่ถึงว่า มันจะเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ดำเนินต่อมาอีกกว่าเจ็ดสิบปีหลังพม่าได้เอกราช ซึ่งจนปัจจุบันนี้ก็ยังสร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนอยู่
ย้อนไปช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงไม่กี่เดือน มีเจ้าหญิงองค์หนึ่งแห่งรัฐฉานสิ้นพระชนม์ เจ้าเมืองต่างๆ ในรัฐ เรียกว่า “เจ้าฟ้า” ก็เดินทางมาร่วมงานพระศพ เลยได้โอกาสพูดคุยกันถึงอนาคตของดินแดนแห่งนี้ พวกเขามองว่าอีกไม่นานอังกฤษต้องให้เอกราชแก่อาณานิคมต่างๆ เพราะบอบช้ำจากสงคราม ไม่อาจรักษาอาณานิคมไว้ได้
เหล่าเจ้าฟ้าจึงได้เชิญตัวแทนเผ่าต่างๆ เช่น คะฉิ่น ชิน และกะเหรี่ยง มาร่วมถกประเด็นดังกล่าวที่เมืองปางโหลง ในรัฐฉาน
ใช่แล้ว นี่คือการประชุมของเหล่าชนกลุ่มน้อยที่ปางโหลงครั้งแรก!
ผลการประชุมหนนี้ มีใจความว่า ทุกฝ่ายอยากได้เอกราช และปกครองตัวเอง ไม่ใช่กลายเป็น “เมืองขึ้น” ของพม่า พวกเขาจึงร่วมมือกันจัดตั้ง “สภาผู้นำร่วมสหพันธรัฐเทือกเขา” (Supreme Council of United Hill Peoples) โดยมีเจ้าฟ้าส่วยแต้ก (บ้างอ่านชื่อท่านว่า เจ้าฟ้าส่วยไต้) แห่งเมืองยองห้วย เป็นประธาน ดำเนินการเรียกร้องเอกราชแยกจากพม่า
หลังอองซานขึ้นเป็นนายกฯ ไม่นาน นายกรัฐมนตรีอังกฤษนาม เคลมองต์ แอตลี ก็มองว่าพม่าบอบช้ำจากสงครามเกินไป ฟื้นตัวยาก หากอุ้มชูไว้ อังกฤษก็จะเสียประโยชน์ไปเปล่าๆ สู้ไปลงทุนกับสิงคโปร์หรือฮ่องกงจะคุ้มค่ากว่า จึงตัดสินใจเตรียมมอบเอกราชให้พม่าไปเลย และนัดให้อองซานเป็นตัวแทนมาพูดคุยเรื่องนี้ที่ลอนดอน
แน่นอนว่าพวกชนกลุ่มน้อยก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยที่อำนาจในการตัดสินใจเหนือดินแดนนี้ตกแก่ “ชาวพม่า” และไม่ได้ต้องการร่วมประเทศกันอีกด้วย
สหพันธรัฐเทือกเขาส่งสารไปหานายกแอตลี ใจความว่า ชนกลุ่มน้อยควรได้ตัดสินใจเรื่องของตนเอง ไม่ใช่ให้ชาวพม่าตัดสิน
ด้วยเหตุนี้ เมื่อพม่าและอังกฤษเจรจากัน ก็มีกล่าวถึงชนกลุ่มน้อยด้วยว่า “การรวมชาติชายแดนและรัฐต่างๆ ของพม่าในเบื้องต้น ต้องได้รับการยินยอมจากผู้อยู่อาศัยในเขตนั้นๆ”
…แม้บรรพชนอังกฤษจะเป็นคนสร้างปัญหาความแตกแยกไว้ แต่นายแอตลีก็อยากแก้ปัญหานั้นให้มันจบในรุ่นของเขา จึงมอบสิทธิแก่ผู้นำสหพันธรัฐเทือกเขา ให้ได้มาพูดคุยกันถึงเอกราชของรัฐตนเองที่ปางโหลงอีกครั้งหนึ่ง โดยมีอองซานเป็นตัวกลาง
การประชุมที่ปางโหลงครั้งที่สองนั้นมีชื่อเสียงกว่าครั้งแรกมาก มีตัวแทนจากพม่า อังกฤษ และชนเผ่าต่างๆ เข้าร่วมประชุม สรุปข้อตกลงออกมาได้ว่า ให้รัฐของชนเผ่าต่างๆ อยู่ร่วมกับพม่าด้วยฐานะ “สหภาพพม่า” จนครบ 10 ปี เพื่อให้ประเทศมั่นคงก่อน จากนั้นจะมีการทำประชามติ ให้แต่ละฝ่ายสามารถมีสิทธิ์แยกไปมีอิสระ ตามการตัดสินใจของประชาชน
ตามข้อตกลงนี้ รัฐชนกลุ่มน้อยสามารถส่งตัวแทนมาเข้าร่วมรัฐบาลพม่าได้ ด้วยเหตุนี้เจ้าฟ้าส่วยแต้ก ประธานสภาผู้นำสหพันธรัฐเทือกเขา จึงได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกแห่งสหภาพพม่า
รัฐฉาน คะฉิ่น และชิน ต่างยอมรับข้อกำหนดนี้ ขณะที่กะเหรี่ยงไม่ลงนาม เพราะคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จัดการตัวเองทันทีโดยไม่ต้องรอ 10 ปี ส่วนชาวมอญและยะไข่นั้น บ้างก็ว่าไม่ได้รับเชิญ บ้างก็ว่าตัดสินใจไม่มาเอง
สัญญาปางโหลงนี้อาจไม่สมบูรณ์พร้อม แต่โดยรวมแล้ว มันเปรียบเหมือนแสงสว่างแห่งความสงบสุขที่พม่าหามาแสนนาน
ทางด้านอองซานนั้นได้ชนะการเลือกตั้งเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพม่าในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่เอกราช เขาไม่ลืมสัญญาปางโหลงที่ให้ไว้กับชนกลุ่มน้อย จึงดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามนั้น
แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น…
เช้าวันที่ 19 กรกฎาคม 1947 มีมือปืน 4 นายบุกสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ขณะอองซานกำลังประชุมกับคณะรัฐมนตรี มือปืนนายหนึ่งยิงอองซานเข้าที่กลางอก ก่อนกราดยิงคณะรัฐมนตรีที่เหลือ มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 5 รายรวมอองซาน อีก 3 คนบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตที่โรงพยาบาล มีผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้เพียง 3 คน
…นายพลอองซานซึ่งต่อสู้เพื่อเอกราชของพม่ามาตลอดตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา …ผ่านการรบมาหลายสมรภูมิ โดนทรยศไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง …พบเจอมิตรและศัตรูมากมาย พยายามฝ่าฟันจนเกือบจะไปถึงจุดหมายในอีกเพียงไม่กี่เดือน กลับไม่ได้เห็นวันที่ความพยายามทั้งชีวิตของเขาผลิบาน
เหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้ เปลี่ยนฉากการเมืองพม่าไปอีกครั้ง…
ในวันที่อองซานโดนสังหาร อูซอ นักการเมืองใหญ่ที่นิยมอังกฤษ และเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพม่ายุคต้นสงครามโลกก็ถูกจับ และถูกตั้งข้อหาว่าเป็นผู้สั่งการลอบสังหารครั้งนี้
เชื่อว่าอูซอไม่พอใจสัญญาปางโหลงซึ่งเป็นการประนีประนอมกับพวกชนกลุ่มน้อยมากเกินไป ทำให้พม่าเสียทรัพยากรสำคัญๆ ตามหุบเขาไปมาก จึงตัดสินใจสั่งการลอบสังหารอย่างอุกอาจ
ขณะเดียวกัน หลายคนก็ไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของเขา มีทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับกรณีนี้อีกมากมาย เช่น หน่วยลับของอังกฤษเป็นคนลอบสังหารแล้วป้ายความผิดให้อูซอ เพราะไม่ต้องการให้กลุ่มชาติพันธุ์ในพม่าเป็นปึกแผ่น
อย่างไรก็ตาม อูซอได้ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตโดยการแขวนคอ
แล้วสันติสุขระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในพม่า สิ้นสุดลงเมื่อขาดผู้นำมากบารมีเช่นอองซาน…
…มันไม่เคยกลับคืนมาอีกเลย…
หลังนายพลอองซานถึงแก่อสัญกรรมกะทันหัน อูนุ อดีตนักการเมืองพรรค AFPFL ที่เคยร่วมต่อสู้เพื่อเอกราชกับอองซานตั้งแต่แรกๆ ก็ขึ้นมาทำหน้าที่แทน
อูนุเข้าเจรจากับนายกแอตลีแห่งอังกฤษอีกรอบ ตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรว่า อังกฤษจะถือพม่าเป็นประเทศหนึ่งทัดเทียมกัน และจะให้สิทธิทางการทูตกับพม่า ไม่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของเครือจักรภพ
ทั้งสองฝ่ายเซ็นสัญญาใหม่ นุ-แอตลี (Nu-Atlee Agreement) เพื่อตกลงเรื่องต่างๆ
พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 มกราคม 1948 แต่เพียงไม่กี่เดือนต่อมาก็เกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศ เพราะสัญญา นุ-แอตลี ไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องชนกลุ่มน้อยไว้ แถมอูนุยังตกลงกับพรรคคอมมิวนิสต์ธงขาวธงแดงที่เกริ่นไว้ตอนต้นไม่สำเร็จ ทำให้ต้องรบกับพวกคอมมิวนิสต์ด้วย
เกิดเหตุพรรคคอมมิวนิสต์ธงขาวธงแดงร่วมมือกัน ปะทะกับฝ่ายรัฐบาลที่เมืองพะโค พวกเขามองว่าอูนุเป็นสายกลางเกินไป ทำให้การปกครองยังเป็นระบบกึ่งศักดินา ชนชั้นกรรมาชีพยังลืมตาอ้าปากไม่ได้ จำต้องโค่นล้มเพื่อสถาปนาลัทธิคอมมิวนิสต์ขึ้น
ชาวบ้านมองว่าพรรคคอมมิวนิสต์จะมาช่วยพวกเขาจากความยากจน จึงให้ความร่วมมือเต็มที่ มีทหารที่นิยมคอมมิวนิสต์ลุกฮือขึ้นแปรพักตร์ไปเป็นอันมาก
นอกจากกลุ่มคอมมิวนิสต์แล้ว ตอนนั้นรัฐบาลพม่ายังถูกชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้ร่วมสัญญาปางโหลงโจมตี โดยมีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวมอญเป็นผู้นำหลัก และมีกองกำลังชาวมุสลิมในรัฐยะไข่ ชาวปะโอในรัฐฉาน รวมถึงมูจาฮิดีนในรัฐอาระกันเข้าร่วมด้วย
ด้านพวกคอมมิวนิสต์ย้ายฐานปฏิบัติการไปเรื่อยๆ และทุกที่ที่พวกเขาเข้าไป ก็จะยึดที่ดินจากนายทุนมามอบให้เกษตรกร ทำให้คอมมิวนิสต์ได้รับความนิยมตามต่างจังหวัดมากขึ้นตามสเต็ปเหมาเจ๋อตุงเดินทัพทางไกล ทำให้ประเทศเกิดใหม่อย่างพม่าต้องวุ่นวายปั่นป่วนเข้าไปอีก
สำหรับฝั่งชนกลุ่มน้อยนั้น ช่วงแรกอูนุให้พลปืนจากองค์กรป้องกันชาติกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) คอยต้านฝั่งกบฏ
แต่สุดท้ายพวกกะเหรี่ยงกลับมีท่าทีกระด้างกระเดื่อง ถึงกับยึดเมืองอินเส่งเป็นของตนเอง อูนุเลยสั่งเด้งชาวกะเหรี่ยงในกองทัพออกหมด แล้วให้โบ่เนวิน หรือตะขิ่นชูมัง หนึ่งในอดีตกลุ่ม 30 สหาย ซึ่งเป็นนายทหารสายเหยี่ยวมาดำรงตำแหน่งนายพลแทน
นับแต่นั้น KNU ก็กลายเป็นกองกำลังติดอาวุธที่เป็นศัตรูของรัฐบาลพม่าจนปัจจุบัน
พม่าเกิดสงครามกลางเมืองติดต่อกันยาวนาน ระหว่างรัฐบาล พรรคคอมมิวนิสต์ และชนกลุ่มน้อยต่างๆ
ประมาณว่าจากปี 1948-1952 นั้น มีผู้เสียชีวิตจากสงครามการเมืองไปถึง 3,424 คน
อย่างไรก็ตามฝ่ายที่เหนื่อยอ่อนก่อนกลับเป็นพวกคอมมิวนิสต์ที่หมายใช้ทฤษฎี “ป่าล้อมเมือง” ยึดเมืองชนบทแล้วค่อยๆ กลืนพื้นที่เมืองหลวง แต่กลับไม่สามารถบุกไปย่างกุ้งได้สักที
พวกเขาเลยกลับมาคิดทบทวนแผนการ ดูตัวอย่างว่าคอมมิวนิสต์รอบๆ แล้วคิดว่าควรจะทำอย่างพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ตอนแรกก็ร่วมมือกับรัฐบาลจีนขับไล่ญี่ปุ่น เพื่อให้ชาติจีนเป็นอันหนึ่งอันเดียว ก่อนจะเปลี่ยนมาโจมตีขับไล่รัฐบาลก๊กมินตั๋งจนต้องหนีไปไต้หวันในตอนท้าย
พวกเขาเลยตัดสินใจขอความร่วมมือกับรัฐบาลพม่า จะสงบศึกหันไปปราบชนกลุ่มน้อยให้ราบคาบก่อน พร้อมแสดงเจตนาบริสุทธิ์โดยยอมคืนที่ดินที่ตนเคยให้เกษตรกรกลับไปให้นายทุน ซึ่งแน่นอนว่าชาวบ้านย่อมไม่พอใจ แถมทำขนาดนี้รัฐบาลพม่าก็ยังไม่เชื่อใจ กลายเป็นเสียสองเด้ง ส่งผลกระทบถึงความเสื่อมของคอมมิวนิสต์พม่าในระยะยาว
ช่วงนั้นรัฐบาลพม่าทำการรบได้เปรียบ ทำให้เหล่าชนกลุ่มน้อยเริ่มถอดใจ ปรากฏพวกยะไข่หยุดต่อสู้ในปี 1958 ตามมาด้วยปะโอ มอญ และฉานสายคอมมิวนิสต์ โดยทางการแถลงว่า มีกบฏจำนวน 5,500 คน “กลับสู่ที่สว่าง”
คอมมิวนิสต์แทบไม่มีพลัง ปัญหากับชนกลุ่มน้อยเริ่มซา ดูเหมือนพม่ากำลังจะสงบ?
ปรากฏว่าขณะที่ศึกนอกเริ่มสงบ ศึกในกลับปะทุขึ้น เมื่อรัฐบาลอูนุแตกคอกันเอง ตัวอูนุเสื่อมบารมีลง เลยขอลดบทบาท ตั้งนายพลเนวินขึ้นมาเป็นผู้ดูแลประเทศชั่วคราว 6 เดือน โดยผ่านการรับรองของสภา ทำให้เนวินได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก
อูนุไม่รู้เลยว่าตนเองได้ทำผิดพลาดครั้งสำคัญเสียแล้วในหลายๆ แง่…
บัดนั้นนายพลเนวินปราบปรามพวกกบฏ (ซึ่งอ่อนแรงอยู่แล้ว) อย่างเด็ดขาด ลดทอนสิทธิเสรีภาพมิให้ต่อต้านรัฐบาลได้ ตอนนั้นประชาชนจำนวนมากก็ชื่นชม เพราะเห็นว่าการปกครองเช่นนี้ทำให้ประเทศมีเสถียรภาพ จะได้เอาเวลาไปพัฒนาบ้านเมืองสักที
ในเวลานี้เอง คอมมิวนิสต์พม่าที่ยังเหลือได้ลอบติดต่อกับคอมมิวนิสต์จีน ฝ่ายจีนก็ช่วยโดยรับพวกคอมมิวนิสต์ไปฝึกทหาร แต่ไม่ได้ช่วยถึงด้านอาวุธถึงที่สุด เพราะคิดว่ารัฐบาลทหารของพม่าก็ไม่แย่
ต่อมาหมดเทอมของเนวิน อูนุชนะเลือกตั้งได้เป็นนายกฯ อีกครั้ง แต่รัฐบาลมีการคอร์รัปชั่นมาก ปัญหาการก่ออาชญากรรมพุ่งสูง ประชาชนเริ่มมองว่าอูนุไม่เหมาะกับการปกครองประเทศ และเทใจไปให้กองทัพ ซึ่งตอนนั้นยังมองว่าเนวินเป็นวีรบุรุษมารักษาความสงบ
…แล้วก็อย่างที่ทุกคนรู้ นายพลเนวินก่อรัฐประหารขึ้นในปี 1962 ซึ่งเป็นการรัฐประหารโดยไม่เสียเลือดเนื้อ ประชาชนก็ไม่ขัดขวาง เพราะเหนื่อยหน่ายกับการปกครองโดยอูนุเต็มที
ในจุดนั้นเนวินกล่าวว่า “ระบบรัฐสภาไม่เหมาะกับพม่า”
…และเขาได้เริ่มสิ่งที่จะสืบต่อมาในพม่าจนปัจจุบัน นั่นคือ “การปกครองแบบทหารสายเหยี่ยว” นั่นเอง…
สิ่งแรกๆ ที่นายพลเนวินทำ คือการสั่งจับผู้นำรัฐต่างๆ ไปคุมขังบ้าง สังหารทิ้งบ้าง ฉีกสัญญาปางโหลงที่เคยตกลงกันอย่างดิบดี ให้กลายเป็นกระดาษไร้ความหมาย
เขาจับเจ้าฟ้าส่วยแต๊กที่เคยเป็นประธานาธิบดีไปขังคุกจนตาย นอกจากนั้นยังสั่งกองทัพล่าสังหารคนที่ไม่ใช่ชาวพม่า ซึ่งทหารที่ไปตามฆ่าชาวบ้านนั้น หลายครั้งก็ลากเด็กและผู้หญิงไปข่มขืนอย่างทารุณ ก่อนจุดไฟเผาหมู่บ้าน
มีเรื่องเล่ากันว่า ในช่วงนั้น รัฐบาลมีการออก “ใบอนุญาตข่มขืน” เผื่อทหารพม่าไปเจอใครถูกใจก็ฉุดลากไปเป็นเมียได้ ตามนโยบายขยายเผ่าพันธุ์พม่าด้วย
การกระทำอันโหดร้ายนี้มิใช่และไม่เคยทำให้สงครามชนกลุ่มน้อยสงบลง ตรงกันข้ามมันคือรากฐานที่ทำให้ชนกลุ่มน้อยลุกฮือขึ้นมาสู้รบกับรัฐบาลทหารพม่าอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม และบ่มเพาะความเกลียดชังอย่างหนัก ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพม่าเองก็ใช่ว่าจะดี
หลังนายพลเนวินยึดอำนาจเพียงเดือนเดียว เขาก็เลือกใช้ “วิถีพม่าสู่ระบอบสังคมนิยม” ตามแนวทางคอมมิวนิสต์ที่สืบมาตั้งแต่สมัยอองซาน แต่ทำโหดกว่า
เนวินรวบกิจการหลายอย่างเป็นของรัฐบาล ขับไล่เจ้าของกิจการต่างชาติ เช่น อังกฤษและอินเดียกลับประเทศ
การทำเช่นนี้ทำให้ระบบเศรษฐกิจเสียหาย เพราะคนของเนวินขาดองค์ความรู้ในการจัดการธุรกิจที่ยึดมา ก็บริหารไม่ดีจนเศรษฐกิจแย่ ส่งผลเสียต่อพม่าในทุกภาคส่วน
ด้วยเหตุนี้พรรคคอมมิวนิสต์พม่าที่เคยเหี่ยวไปจึงกลับมามีเรี่ยวแรงอีก เพราะประชาชนกลายเป็นเกลียดทหาร พวกเขาร่วมมือกับชนกลุ่มน้อยต่างๆ ลุกฮือขึ้นต่อต้าน ซึ่งนายพลเนวินก็ไม่ยอมแพ้ ทุ่มงบปราบกบฏเหล่านี้ จนไม่มีเงินไปพัฒนาประเทศ
…และนี่คือเรื่องราวจากช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายในพม่า ที่ยังส่งผลมายังปัจจุบัน
ประเทศที่ขาดเสถียรภาพจากความหลากหลายทางความเชื่อ และชาติพันธุ์ พอเจอการจัดการอย่างโหดร้ายของทหารสายเหยี่ยว ก็กลายเป็นไร้เสถียรภาพกว่าเก่า
ตลอดมาทหารพม่าแก้ปัญหาโดยยกระดับความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บางช่วงสามารถสยบชนกลุ่มน้อยได้บ้าง แต่ก็บ่มเพาะความแค้นให้เป็นชนวนที่กลับมาปะทุใหม่อยู่เสมอ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความตายของอองซานหรือ? ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นเป็นประเด็นสำคัญ
แต่ถึงอองซานจะครองใจชาวพม่าส่วนมากได้ แต่พวกคอมมิวนิสต์แท้ก็ไม่ชอบเขาตั้งนานแล้ว ทั้งชนกลุ่มน้อยบางเผ่าก็ยังไม่ยอมรับอองซานอยู่ดี
จนถึงทุกวันนี้ชาวพม่าที่เรียนรู้ความผิดพลาดในอดีตได้พยายามแก้ไขมัน
…มีความพยายามสร้างความปรองดอง แต่ก็สะดุดลงเมื่อเกิดการรัฐประหารที่ผ่านมา
พม่ายังจะต้องเผชิญความเลวร้ายเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไร?
จะหาทางหลุดพ้นจากวงจรนี้ได้อย่างไร?
คุณล่ะคิดเช่นใดกับเรื่องนี้?
0 Comment