หากเราต้องสรุปความเป็นเวียดนามลงในอาหารจานหนึ่ง สิ่งแรกๆ ที่เราท่านนึกได้อาจเป็น ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเวียดนาม หรือ “เฝอ” แต่ทราบหรือไม่ว่าเฝอนั้นอาจไม่ใช่อาหารเวียดนามแต่โบราณ และในขณะเดียวกัน มันก็ผูกพันกับชาวเวียดนาม มากกว่าที่เราคิด…
ประวัติของก๋วยเตี๋ยวเนื้อเวียดนาม หรือ “เฝอ” นั้น มีว่ากันหลายทฤษฎี แต่เชื่อหรือไม่ว่าอาหารในภาพที่ท่านเห็นนี้อาจมีรากเหง้ายาวไกลถึงฝรั่งเศส
มีคำกล่าวเวียดนามบอกว่า “ข้าว” นั้นเปรียบเหมือนภรรยาหลวงที่ซื่อสัตย์ หนักแน่น ทำหน้าที่ดูแลครอบครัวตามประเพณีอันดีงาม แต่ “เฝอ” นั้นเปรียบเสมือนแฟนสาว ที่สวย น่ารัก อยู่ด้วยแล้วสบายใจ หมายความว่าเฝอนั้นเป็นของกินง่าย กินได้เรื่อยๆ กินแล้วมีความสุข
แม้เวียดนามมีประวัติศาสตร์กว่าสองพันปี แต่นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า เรื่องของเฝอนั้นเริ่มขึ้นหลังจากเวียดนามตกเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศสในปลายศตวรรษที่ 19
ชาวบ้านเห็นเนื้อมีราคาถูกจึงคิดอ่านเอากระดูกวัวมาต้มน้ำซุป กินกับเนื้อวัวหั่นและก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม ใส่เครื่องเทศตามที่มีในท้องถิ่น
พ่อค้าขายเฝอจะมีเอกลักษณ์คือการใช้คานใหญ่หาม “ร้าน” ของตนไปตามที่ต่างๆ คานด้านหนึ่งใช้ยกกับข้าว จานชาม คานอีกด้านจะยกเตาไฟ เฝอเป็นอาหารที่ต้องอุ่นร้อนกินเสมอ
แต่ไม่ว่าจะเป็นปอโตเฟอ หรืองืวหยุกเฝิน เสียงที่พ่อค้าใช้ร้องเรียกแขกนั้นได้ถูกกร่อนลงมาเหลือเพียงคำว่า “เฝอ” ซึ่งเป็นชื่อของอาหารประเภทนี้ในที่สุด
ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แผ่นดินเวียดนามเป็นทุรยศ ต้องแตกแยกเป็นเวียดนามเหนือ (ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์ปกครอง) และเวียดนามใต้ (ซึ่งฝรั่งเศสยังมีอิทธิพล) ส่งผลให้ชาวเหนือจำนวนมากต้องอพยพลงมาภาคใต้
ชาวเหนือเหล่านั้นได้นำ “เฝอ” ลงมาด้วย ไม่นานมันก็แพร่หลาย กลายเป็นอาหารประจำชาติเวียดนามทั้งหมด …และกลายเป็นว่าแม้ชาวเวียดนามต้องแยกแผ่นดิน แต่ยังเชื่อมโยงกันด้วยอาหารชนิดนี้
ในยุคสงครามเย็น พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามสวามิภักดิ์โซเวียต รับความช่วยเหลือมาเป็นอันมาก โซเวียตบริจาคแป้งมันฝรั่งให้เยอะก็เอามาทำเฝอด้วย
และเนื่องจากมันเป็นคอมมิวนิสต์ รัฐบาลจึงเข้าควบคุมกิจการต่างๆ แทบทั้งหมดรวมทั้งกิจการอาหาร เกิดเป็นยุค “หายนะแห่งเฝอ” เมื่อประชาชนต้องทนกินเส้นเฝอโรงงานทำจากแป้งมันฝรั่งซึ่งรสชาติกากเดนเป็นอย่างมาก
รัฐบาลยังห้ามชาวบ้านเอาข้าวมาทำเส้นก๋วยเตี๋ยว เพราะ “เป็นการใช้ข้าวอย่างไม่ประหยัด” ชาวเวียดนามต้องหลบเฝอลงใต้ดิน แอบทำเฝอแท้ๆ จากข้าวขายกินกันเองอย่างยากลำบาก เมื่อพวกเขาอยากสั่งเฝอแท้จากร้านอาหาร จะมีรหัสลับสั่งว่า “เอาเฝอแป้งมันฝรั่งมากินสิ!” พ่อค้าจะรู้ และเสิร์ฟเฝอแท้ให้กิน
สงครามเย็นดำเนินไปพร้อมกับประวัติศาสตร์ของเฝอ ยุคนั้นบ้านเมืองมีศึกสงคราม ในที่สุดเนื้อสัตว์ก็เป็นของราคาแพง ชาวบ้านลำบากก็ต้องลดเลเวลเฝอมากิน “เฝอเปล่า” กัน
พวกเขาเรียกเฝอเปล่าว่า “เฝอคงเหงื่อยไล้” หรือ “เฝอไร้คนขับ” เป็นการล้อเลียนเครื่องบินโดรนไร้คนขับที่อเมริกาส่งมาถ่ายภาพเวียดนามเหนือบ่อยๆ
เมื่อไม่มีเนื้อกิน ชาวเวียดนามก็เหลือชอยส์ให้เลือกระหว่าง “ข้าว” กับ “เฝอเปล่า” ยังโชคดีชาวจีนในเวียดนามตอนนั้นคิดอ่านเอาปาท่องโก๋มากินกับเฝอเปล่า ใช้แทนเนื้อได้หน่อยหนึ่ง นับแต่นั้นปาท่องโก๋ก็กลายเป็นเครื่องเคียงชั้นดีของเฝอเรื่อยมา
บัดนั้นสงครามร้อนระอุ ฝ่ายเวียดนามเหนือกินปาท่องโก๋กับเฝอ มีความกล้าหาญทรหด ยิ่งรบก็ยิ่งได้ชัยชนะ
ในยุทธการตีกรุงไซ่ง่อน หรือเมืองหลวงของเวียดนามใต้นั้นพวกสายลับเวียดนามเหนือซ่องสุมกันในร้านเฝอ “เฝอบิ่น” หรือแปลตรงตัวว่า “เฝอสันติภาพ” ปัจจุบันร้านนี้ก็ยังเปิดดำเนินการอยู่
หลังจากผลัดกันแพ้ชนะหลายครั้ง ในที่สุดเวียดนามเหนือก็เป็นฝ่ายกำชัยเด็ดขาด สามารถรวมประเทศสำเร็จ ชาวเวียดนามใต้ที่จงรักภักดีกับรัฐบาลเก่าต้องอพยพลี้ภัย
การอพยพครั้งใหญ่ของชาวเวียดนามใต้ไปยังอเมริกา และไทยนำสู่การเผยแพร่วัฒนธรรมเฝอไปทั่วโลก
ปัจจุบันเฝอไม่อยู่แค่ในเวียดนามอีกต่อไป แต่มันกลายเป็น “อาหารของโลก” มีการปรุงแต่งให้พิเศษพิศดารต่างๆ หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อวัว และไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องเทศท้องถิ่นก็เป็นเฝอสุดวิเศษได้
0 Comment