🥳 หลังจาก “เมืองโบราณศรีเทพ” ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปเมื่อปีที่แล้ว ล่าสุดก็มีข่าวดีอีกเมื่อ “ภูพระบาท” ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกเช่นกัน นับเป็นแหล่งมรดกโลกแหล่งที่ 8 ในประเทศไทย 🇹🇭

รายละเอียดของสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างไร? มาติดตามในโพสต์นี้นะครับ
______________
🛕 *** รู้จัก “ภูพระบาท” ***

พื้นที่ที่ได้รับขึ้นทะเบียนในครั้งนี้เป็นพื้นที่ราว 5.86 ตร. กม. หรือประมาณ 3,660 ไร่ ตั้งอยู่ในเขตตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่ใช้ชื่อว่า “ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมาสมัยทวารวดี” ในพื้นที่นี้ประกอบด้วย 2 สถานที่ คือ “อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท” และ “แหล่งวัฒนธรรมสีมาวัดพระพุทธบาทบัวบาน”

ความโดดเด่นของมรดกโลกแห่งนี้มีอยู่หลักๆ 2 เรื่อง คือ 1) กลุ่มเพิงหินอันเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และ 2) หลักฐานพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และอิทธิพลทางศาสนาพุทธ

______________
🛕 *** เพิงหินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ***

เริ่มจากภูมิประเทศของภูพระบาท ที่มีลักษณะเป็นเพิงหินและโขดหินอยู่กันกระจัดกระจายเป็นจำนวนมาก ภูพระบาทอยู่ในเขตเทือกเขาภูพานซึ่งเป็นหินทราย หินทรายนี้ถูกน้ำสึกกร่อนได้ง่ายจึงเกิดเป็นบ่อน้ำหนองน้ำสำหรับให้คนมาอยู่อาศัยตั้งเป็นชุมชน และถูกลมฝนสึกกร่อนจนกลายเป็นเพิงหินโขดหินให้เป็นที่พำนักตามธรรมชาติสำหรับคนสัญจร

หินที่พบในพื้นที่นั้นมีอายุหลากหลายตั้งแต่ 5-245 ล้านปี โดยเพิงหินรูปร่างต่างๆ นั้นเกิดจากชั้นหินทรายแต่ละชั้นถูกกัดเซาะตามธรรมชาติมากน้อยต่างกัน โดยเฉพาะชั้นกลางที่มีการจับตัวไม่ค่อยแน่นเมื่อเทียบกับชั้นบนและล่าง เมื่อเวลาผ่านไปจึงเกิดลักษณะที่หินชั้นตรงกลางคอดเว้าเข้าไป เกิดเป็นรูปคล้ายดอกเห็ดหรือโต๊ะหิน ซึ่งลักษณะเพิงหินแบบนี้พบได้ในหลายพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย

และหากพิจารณาจากหลักฐานแวดล้อมว่ามีมนุษย์โบราณเข้ามาอาศัยแถบนี้มาตั้งแต่ 3-4 พันปีก่อนแล้ว รูปแบบเพิงหินที่เกิดขึ้นควรจะต้องมีอายุมากกว่านั้นแปลว่าอย่างน้อยต้องมีอายุกว่า 5 พันปีขึ้นไป

ลักษณะเพิงหินในภูพระบาทที่สำคัญ เช่น “หอนางอุสา” ที่มีความสูง 10 เมตร และหินก้อนบนมีขนาด 5 x 7 เมตร ที่พบว่าเป็นลักษณะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่อาจมีการดัดแปลงให้เป็นที่พักในเวลาต่อมา
______________
🛕 *** หลักฐานทางประวัติศาสตร์และศาสนาพุทธ ***

จากที่เกริ่นไปบ้างแล้วว่าพื้นที่ภูพระบาทมีหลักฐานของการเข้ามาอยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จากภูมิประเทศที่เอื้อต่อการสร้างชุมชน จึงไม่น่าแปลกใจที่พื้นที่แห่งนี้จะสะท้อนถึงพัฒนาการตั้งแต่ยุคโบราณไล่ๆ ขึ้นมาหลายยุคอีกด้วย และความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือจังหวัดอุดรธานียังมีแหล่งมรดกโลกอีกแห่งคือ “แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่มากในพื้นที่แถบนี้ด้วย

สิ่งที่เป็นหลักฐานของวัฒนธรรมมนุษย์ในพื้นที่ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์คือจิตรกรรมบนฝาผนังถ้ำและเพิงหินเหล่านี้ที่มีอายุราว 2,500-3,000 ปี กระจายอยู่ในโบราณสถาน 54 แห่งในพื้นที่ รูปวาดเหล่านี้มีการสันนิษฐานว่าเป็น “ผีขวัญ” หรือผีบรรพชนจากโลกหลังความตาย ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลศาสนาผีที่เป็นศาสนาแรกเริ่มในพื้นที่ประเทศไทย

ต่อมามีการรับเอาวัฒนธรรมอย่าง “ทวารวดี” (พุทธศตวรรษที่ 12-16) ที่เป็นวัฒนธรรมพุทธเข้ามา ทำให้ปรากฏอิทธิพลความเชื่อของศาสนาพุทธในภูพระบาทด้วย เช่น การดัดแปลงเพิงหินให้เป็นศาสนสถาน รวมไปถึง “เสมาหิน” ซึ่งเดิมทีเป็นหลักหินที่เป็นคล้ายๆ วัฒนธรรมท้องถิ่นของแถบนั้น ก่อนที่จะมีการตกแต่งเป็นรูปใบเสมาที่อยู่ล้อมรอบอุโบสถ

เชื่อว่าหลักหินหรือเสมาหินนี้ทำหน้าที่เป็นนิมิตพัทธสีมาสงฆ์ หรือเป็นเขตพิธีกรรมในความเชื่อแบบพุทธ ในคัมภีร์กล่าวว่าพระพุทธเจ้าให้สงฆ์กำหนดแนวเขตเพื่อทำสังฆกรรมร่วมกันอย่างน้อย 3 ตำแหน่งล้อมเป็นวง โดยใช้นิมิต 8 อย่าง ได้แก่ ภูเขา หิน ป่า ต้นไม้ หนทาง จอมปลวก แม่น้ำ และน้ำที่ขัง คติการปักใบเสมาในพุทธศาสนาจึงเป็นเสมือนการกำหนดขอบเขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 15-18 มีอิทธิพลของศิลปะแบบเขมรเข้ามาในพื้นที่ สังเกตได้จากการสกัดหินเป็นรูปพระโพธิสัตว์และรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเขมร เช่นเดียวกับศิลปะล้านช้างที่เข้ามาในราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 ซึ่งสังเกตได้จากรูปแบบของพระพุทธรูปและสถาปัตยกรรมอีกเช่นกัน

…ดังนั้นภูพระบาทจึงเป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์เปิดที่จัดแสดงผลงานศิลปะจากหลากหลายยุคที่รวมกันอยู่ในพื้นที่แห่งนี้เลยทีเดียว!

นอกจากนี้ภูพระบาทยังมีความโดดเด่นด้วยการพบ “รอยพระพุทธบาท” ประดิษฐานอยู่มากมาย จึงกลายเป็นที่มาของชื่อภูพระบาทนั่นเอง

ลักษณะของรอยพระพุทธบาทเป็นรอยเท้าประดิษฐ์โดยโบกปูนทับรอยเดิม ใกล้ๆ กันยังมีรูหรือปล่องพญานาคตามความเชื่อท้องถิ่นปรากฏอยู่ เป็นหนึ่งในตำนานท้องถิ่นที่เชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าประทับให้เหล่านาคได้บูชา เดิมมีอูบมุงครอบอยู่แล้วต่อมารื้อออกแล้วสร้างพระธาตุครอบไว้จนถึงปัจจุบัน กลายเป็นวัดพระพุทธบาทบัวบาน

และทั้งหมดนี้คือสรุปรายละเอียดคร่าวๆ ของภูพระบาท แหล่งมรดกโลกแห่งใหม่ในประเทศไทยที่เพิ่งขึ้นทะเบียนนั่นเอง สำหรับท่านที่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์และศาสนาพุทธ ภูพระบาทนับเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดไปเยี่ยมชมด้วยประการทั้งปวง!

#TWCHistory #TWCThailand #TWC_Cheeze