สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งพระศาสนจักรคาทอลิก และผู้นำจิตวิญญาณของคริสต์ศาสนิกชนกว่าพันล้านคนทั่วโลก ได้สิ้นพระชนม์อย่างสงบ ณ กรุงวาติกัน เมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2025 รวมพระชนมายุได้ 88 ปี

พระองค์ทรงเป็นพระสันตะปาปาองค์ที่ 266 และเป็นพระองค์สันตะปาปาองค์แรกที่มาจากทวีปอเมริกาใต้ โดยทรงถือกำเนิดในประเทศอาร์เจนตินา

ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของพระศาสนจักรคาทอลิก มีพระสันตะปาปาเพียงไม่กี่องค์ที่สามารถจารึกพระนามไว้ในหัวใจของผู้คนได้อย่างลึกซึ้งเท่ากับพระองค์ผู้นี้ ด้วยบุคลิกที่เปี่ยมด้วยเมตตา ความสมถะ และการอุทิศตนเพื่อศาสนาอย่างแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลง

ตลอดระยะเวลากว่าสิบปีแห่งการเป็นประมุขสูงสุดของพระศาสนจักรคาทอลิก พระองค์ทรงอุทิศตนเพื่อสันติภาพ ความยุติธรรม ความยากจน และการปฏิรูปภายในศาสนจักร พร้อมทั้งทรงเน้นย้ำเรื่องความสมถะ ความเมตตา และการรับฟังเสียงของผู้ด้อยโอกาสอยู่เสมอ

และนี่คือเรื่องราวของบุรุษผู้ก้าวจากย่านชนชั้นแรงงานในกรุงบัวโนสไอเรส สู่ตำแหน่งประมุขแห่งศาสนจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก…

____________________________

✝️ ชีวิตในวัยเยาว์
✝️ บาทหลวง ฮอร์เค มาริโอ เบร์โกกลิโอ
✝️ พิธีการเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่
✝️ บทบาทของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
✝️ อาการประชวร

____________________________

✝️ ชีวิตในวัยเยาว์

1. สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสมีพระนามเดิมว่า “ฮอร์เค มาริโอ เบร์โกกลิโอ” (Jorge Mario Bergoglio) ประสูติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1936 ที่เมืองฟลอเรส ชานกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา

พระองค์เป็นหนึ่งในพี่น้องห้าคนของครอบครัวผู้อพยพชาวอิตาเลียน โดยคุณพ่อ มาริโอ โฮเซ เบร์โกกลิโอ เป็นนักบัญชีในหน่วยงานการรถไฟ ส่วนคุณแม่เรจินา มาเรีย ซิโวรี เป็นแม่บ้านที่อุทิศตนให้กับการเลี้ยงลูกอย่างเรียบง่ายและเคร่งครัดในศาสนา

2. ครอบครัวของพระองค์เป็นครอบครัวชนชั้นแรงงานที่ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย สมถะ และยึดมั่นในศรัทธา พระองค์เติบโตขึ้นในย่านฟลอเรส ชานกรุงบัวโนสไอเรส ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม ทั้งชาวอิตาเลียน สเปน ยิว และผู้อพยพจากยุโรปกลาง บรรยากาศเช่นนี้หล่อหลอมให้พระองค์ซึมซับทั้งความหลากหลาย ความเข้าใจ และการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนตั้งแต่วัยเยาว์

3. ปี 1958 พระองค์ได้เข้าร่วมคณะเยซูอิต (Society of Jesus) หนึ่งในคณะนักบวชที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในพระศาสนจักรคาทอลิก มีโดดเด่นในด้านวินัยที่เข้มข้น การศึกษาเชิงลึก และการรับใช้สังคม พระองค์ศึกษาเทววิทยาและปรัชญาอย่างลึกซึ้ง เมื่อทรงจบการศึกษาแล้วจึงได้รับศีลบวชเป็นบาทหลวง โดยอาร์คบิชอป รามอน โฮเซ กัสติยาโน (Ramón José Castellano)

____________________________

✝️ บาทหลวง ฮอร์เค มาริโอ เบร์โกกลิโอ

4. หลังจากนั้น พระองค์ได้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการและบริหารภายในคณะเยซูอิตหลากหลายตำแหน่งโดยเฉพาะในทศวรรษ 1970 ยุคหัวเลี้ยวหัวต่อของอาร์เจนตินา พระองค์เคยเป็นทั้งอาจารย์สอนเทววิทยาและวรรณกรรม อธิการบดีของวิทยาลัยศาสนศาสตร์แห่งคณะเยซูอิต และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะเยซูอิตแห่งอาร์เจนตินา (Provincial Superior of the Jesuits in Argentina) ขณะมีอายุเพียง 36 ปีเท่านั้น

5. ช่วงเวลานี้ อาร์เจนตินาตกอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหาร ซึ่งมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง รัฐบาลใช้กำลังทหาร สอดแนม คุมขัง และอุ้มฆ่าผู้เห็นต่างทางการเมืองหลายหมื่นคน หลายครอบครัวต้องสูญเสียบุคคลไป รวมไปถึงพระองค์ที่ต้องเผชิญความท้าทายอันใหญ่หลวงเช่นกัน

6. ปี 1992 บาทหลวงฮอร์เค มาริโอ เบร์โกกลิโอ ได้ดำรงตำแหน่งอธิการผู้ช่วย (Auxiliary Bishop) แห่งกรุงบัวโนสไอเรส เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของอัครสังฆราชในขณะนั้น ด้วยบุคลิกที่ถ่อมตน มุ่งมั่น และทุ่มเทในการรับใช้ประชาชน พระองค์ได้รับความไว้วางใจอย่างรวดเร็วจากคณะสงฆ์และคริสตชนในพื้นที่

7. ต่อมาในปี 1997 หลังจากที่อัครสังฆราช อันโตนิโอ กวาร์ราซีโน (Antonio Quarracino) เริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพ สมเด็จพระสันตะปาปาจึงแต่งตั้งบาทหลวงฮอร์เคให้ดำรงตำแหน่งอัครสังฆราชผู้ช่วย (Coadjutor Archbishop) ของอัครมุขมณฑลบัวโนสไอเรส และเมื่อพระสังฆราชกวาร์ริโอสิ้นชีพ พระองค์จึงได้สืบตำแหน่งเป็น “อัครสังฆราชแห่งบัวโนสไอเรส” อย่างเป็นทางการ

8. ในฐานะอัครสังฆราชแห่งเมืองหลวงของอาร์เจนตินา พระองค์มุ่งเน้นการทำงานภาคสนาม ลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอเพื่อพบปะผู้คน โดยเฉพาะในวิลล่ามิเซเรีย (Villa Miseria) หรือชุมชนแออัดที่เต็มไปด้วยความยากจน อาชญากรรม และการถูกทอดทิ้งจากภาครัฐ

9. พระองค์ปฏิเสธที่จะใช้รถหรูหรือคฤหาสน์ของอัครสังฆราช และเลือกใช้ชีวิตเรียบง่ายในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ยอมทำอาหารทานเอง เดินทางด้วยรถบัสหรือรถไฟใต้ดิน และสวมเสื้อคลุมธรรมดามากกว่าฉลองพระองค์หรูหราแบบเจ้าคณะทั่วไป

10. จากการทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยและภาพลักษณ์อันสมถะ ในปี 2001 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 จึงได้แต่งตั้งพระองค์ให้ดำรงตำแหน่งพระคาร์ดินัล ซึ่งถือเป็นตำแหน่งสูงสุดในลำดับผู้นำของพระศาสนจักรคาทอลิก ก่อนตำแหน่งพระสันตะปาปา

11. ด้วยวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ใกล้ชิดประชาชน และการรับใช้ผู้คนอย่างไม่แบ่งแยก จึงทำให้หลังจากดำรงตำแหน่งพระคาร์ดินัลแห่งบัวโนสไอเรสมานานกว่า 12 ปี พระคาร์ดินัลฮอร์เค มาริโอ เบร์โกกลิโอ ก็กลายเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพอย่างสูงในหมู่ศาสนจักรทั่วโลก แม้จะไม่ใช่ผู้ที่โดดเด่นในสื่อระดับโลก
____________________________

✝️ พิธีการเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่

12. จุดเปลี่ยนสำคัญคือการลาออกของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ด้วยเหตุผลเรื่องพระพลานามัยและความไม่สามารถแบกรับภาระหนักของตำแหน่งได้ ซึ่งนับเป็นการลาออกครั้งแรกของพระสันตะปาปาในรอบเกือบ 600 ปี

13. การลาออกดังกล่าวทำให้พระคาร์ดินัลทั่วโลกจำนวน 115 รูป ต้องเดินทางสู่กรุงโรม เพื่อเข้าร่วมการประชุมลับเลือกพระสันตะปาปา ณ โบสถ์ซิสทีน พิธีกรรมที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดของพระศาสนจักรคาทอลิก

14. ในพิธีการเลือกพระสันตะปาปา พระคาร์ดินัลทุกคนจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงเพื่อป้องกันการแทรกแซงใดๆ ก็ตาม โดยพระคาร์ดินัลที่มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนจะลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุดเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่ โดยผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงอย่างน้อย 2 ใน 3 ของจำนวนผู้ลงคะแนนทั้งหมดในแต่ละวัน สามารถลงคะแนนได้ สูงสุด 4 รอบ (เช้า 2 รอบ บ่าย 2 รอบ) หากยังไม่มีผู้ใดได้รับเสียงครบตามเกณฑ์ การลงคะแนนจะดำเนินต่อไปในวันถัดไป จนกว่าจะได้พระสันตะปาปาองค์ใหม่

15. ทุกครั้งที่มีการลงคะแนนและยังไม่มีผู้ใดได้เสียงข้างมากเพียงพอ จะมีการเผาบัตรเลือกตั้งเพื่อปล่อย ควันดำ ออกจากปล่องไฟของ โบสถ์ซิสทีน โดยควันดำ จะสื่อว่ายังไม่ได้พระสันตะปาปาองค์ใหม่ และควันขาวหมายถึงการเลือกตั้งเสร็จสิ้นได้พระสันตะปาปาองค์ใหม่แล้ว ผู้คนที่เฝ้ารออยู่หน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร และสื่อทั่วโลก จะรู้ทันทีว่าได้พระสันตะปาปาองค์ใหม่หรือยัง แค่จาก สีของควันที่ลอยออกมา

16. หลังการลงคะแนนเสียงเป็นรอบที่ห้าเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2013 ควันสีขาวก็ลอยขึ้นจากปล่องไฟของโบสถ์ซิสทีน เป็นสัญญาณว่าโลกกำลังจะมีพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ซึ่งพระคาร์ดินัล ฌอง-หลุยส์ ตูร็องออกมายืนบนระเบียงของมหาวิหารนักบุญเปโตรและประกาศคำว่า ฮาเบมุส ปาปัม (Habemus Papam) ซึ่งแปลว่า เรามีพระสันตะปาปาแล้ว นั่นคือ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส

____________________________

✝️ บทบาทของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส

17. พระองค์ทรงเลือกพระนามว่า “ฟรานซิส” เพื่อถวายเกียรติแด่นักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซี นักบุญในศตวรรษที่ 13 ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องความยากจน ความสมถะ และความรักต่อธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต

นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พระสันตะปาปาเลือกใช้นาม “ฟรานซิส” และเป็นสัญญาณชัดเจนว่า พระองค์จะทรงนำพระศาสนจักรไปสู่เส้นทางแห่งความถ่อมตน เมตตา และการปฏิรูป

18. พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกที่แสดงท่าทีเปิดกว้างทางเพศสภาพอย่างชัดเจน แม้จะยังยึดถือหลักคำสอนดั้งเดิมของพระศาสนจักร แต่พระองค์กลับเลือกใช้ภาษาที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและเข้าใจมากกว่าพระสันตะปาปาองค์ก่อนๆ

19. พระองค์ตรัสในปี 2013 ขณะถูกถามถึงผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยตอบกลับไปว่า “เราเป็นใครเล่าที่ไปตัดสินเขา” (Who am I to judge) นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สะท้อนว่าพระศาสนจักรคาทอลิกกำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุคของการ รับฟัง และ เข้าใจ กลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น

20. ในปี 2015 พระองค์ได้ออกพระราชสมณลิขิตเพื่อเรียกร้องให้มนุษยชาติเห็นความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะปัญหาโลกร้อนและการทำลายธรรมชาติ ถือเป็นครั้งแรกที่พระสันตะปาปาให้ความสำคัญกับ “ระบบนิเวศวิทยา” ในระดับโลกอย่างเป็นทางการ โดยชี้ว่า “การดูแลโลกใบนี้คือหน้าที่ทางศีลธรรม”

21. เมื่อเกิดสงครามยูเครนในปี 2022 พระองค์ทรงประณามการรุกรานและความรุนแรงในทันที โดยไม่ลังเลที่จะกล่าวถึง “สงครามที่ไม่ยุติธรรม” พร้อมวิงวอนให้เลิกการใช้อาวุธและหันหน้าสู่การเจรจา พระองค์ทรงเตือนว่า “ทุกสงครามคือความล้มเหลวของมนุษยชาติ” และไม่มีผู้ชนะที่แท้จริงในสงคราม มีแต่เพียงผู้ที่บาดเจ็บและสูญเสีย

22. รวมไปถึงวิกฤตในฉนวนกาซา พระองค์ได้ส่งสารซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อขอให้ทุกฝ่ายยุติการเข่นฆ่า โดยเฉพาะการโจมตีที่ทำร้ายพลเรือน เด็ก ผู้หญิง และผู้บริสุทธิ์ ทรงเรียกร้องให้โลกอย่ามองความขัดแย้งนี้เพียงผ่านตัวเลขผู้เสียชีวิต แต่ให้มองเป็นความทุกข์ของมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน พระองค์ทรงเน้นว่า “ความยุติธรรมเท่านั้นที่จะนำไปสู่สันติภาพที่แท้จริง” และไม่มีศาสนาใดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการทำลายล้างชีวิต

____________________________

✝️ อาการประชวร

23. แม้จะดำรงตำแหน่งในช่วยวัยชราและต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรวดเร็ว สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสก็ยังคงปฏิบัติภารกิจของพระองค์อย่างไม่ย่อท้อ ทว่าในช่วงไม่กี่ปีสุดท้ายก่อนสิ้นพระชนมชีพ อาการประชวรของพระองค์ก็เริ่มส่งสัญญาณ…

24. ปี 2021 พระองค์ทรงเข้ารับการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ เพื่อรักษาอาการ “ลำไส้ใหญ่อักเสบและตีบแคบ” การผ่าตัดครั้งนี้กินเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง และพระองค์ประทับพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราวกว่า 10 วัน พระองค์ก็เสด็จกลับวาติกันและกลับมาทำหน้าที่ได้ในเวลาไม่นานนัก

25. ปี 2022 อาการเจ็บเข่าข้างขวาเริ่มส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของพระองค์อย่างเห็นได้ชัด พระองค์ต้องเลื่อนการเสด็จเยือนหลายประเทศ และเริ่มปรากฏพระวรกายบนรถเข็นเป็นครั้งแรก แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้พระองค์พักผ่อนหรือจำกัดภารกิจลง แต่พระสันตะปาปากลับกล่าวว่า “ฉันอาจนั่งรถเข็น แต่ฉันจะเดินไปข้างหน้าด้วยหัวใจที่ไม่เคยหยุด”

26. พระองค์ยังคงปรากฏตัวในพิธีสำคัญ และทรงพบปะผู้นำระดับโลกและคริสต์ศาสนิกชนต่อไป ด้วยความมุ่งมั่นและเมตตา โดยในปี 2023 พระองค์ทรงถูกส่งเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งด้วยอาการติดเชื้อทางเดินหายใจ โดยสื่อวาติกันแถลงว่าไม่เกี่ยวข้องกับโควิด 19 แม้จะมีอาการไข้และหายใจติดขัด ทำให้พระองค์ต้องประทับรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลา 3 วัน และใช้ยาปฏิชีวนะอย่างใกล้ชิดกับแพทย์

27. ตลอดปี 2024 พระองค์เริ่มลดภารกิจสาธารณะลงอย่างเห็นได้ชัด บางช่วงไม่สามารถอ่านพระดำรัสด้วยตนเอง ต้องให้ผู้ช่วยเป็นผู้ประกาศแทน หลายกิจกรรมทางศาสนา เช่น พิธีปัสกา หรือการเสด็จเยือนต่างประเทศถูกยกเลิกหรือมอบหมายให้พระคาร์ดินัลทำแทน แม้จะยังทรงเข้าร่วมการประชุมในวาติกันอย่างสม่ำเสมอ แต่พระสุรเสียงที่อ่อนแรงและการนั่งรถเข็นเป็นประจำ ทำให้ทั่วโลกเริ่มตั้งคำถามว่า วาติกันอาจกำลังเตรียมตัวสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านอีกครั้ง

28. ช่วงต้นปี 2025 สื่อวาติกันรายงานว่าพระสันตะปาปาทรงมีอาการหายใจติดขัดและอ่อนเพลียเรื้อรัง โดยต้องงดภารกิจทางศาสนาเป็นระยะ และพักผ่อนในที่ประทับส่วนตัวมากขึ้น มีรายงานว่าแพทย์ประจำพระองค์ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง

29. แม้จะมีความพยายามรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่อาการของพระองค์กลับถดถอยลงอย่างช้า ๆ และในที่สุด พระองค์ก็สิ้นพระชนม์อย่างสงบเมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2025 ณ กรุงวาติกัน ในวัย 88 ปี ท่ามกลางคำอธิษฐานจากคริสต์ศาสนิกชนทั่วโลก 🕊️

ขอจิตวิญญาณของพระองค์เสด็จสู่สวรรค์นิรันดร์ และขอให้คุณงามความดีของพระองค์ยังคงส่องสว่างเป็นแรงบันดาลใจแก่โลกนี้ต่อไป

#TWCSummary #TWCWorld #TWC_Salmon