1. “พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์” (Pyramid of the Sun) เป็นหนึ่งในโครงสร้างของนครโบราณเตโอติวากัน ประเทศเม็กซิโก พีระมิดนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ ค.ศ. 100 หรือตั้งแต่เกือบ 2 พันปีก่อน โดยถือเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในซีกโลกตะวันตก ตามแบบอารยธรรมเมโสอเมริกัน
2. ชื่อ “พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์” นั้น ไม่ใช่ชื่อที่ชาวเตโอติฮัวกันในสมัยโบราณใช้เรียก แต่เป็นชื่อที่ชาวแอซเท็กที่สร้างอารยธรรมในภายหลังตั้งขึ้น เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าโครงสร้างนี้มีความเชื่อมโยงกับเทพแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเทพเจ้าสำคัญของอารยธรรมเมโสอเมริกัน
3. พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์เป็นที่รู้จักกันมาช้านาน และไม่เคยถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของชนพื้นเมือง เดิมทีชนพื้นเมืองเรียกสิ่งก่อสร้างมหึมาที่ถูกปกคลุมด้วยดินและพืชพรรณแห่งนี้ว่า “เทปเป” (Tepē) หรือ “ภูเขา” ในภาษานาวัตล์ จนกระทั่งปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักโบราณคดีชาวเม็กซิกันจึงเริ่มเข้ามาสำรวจและบูรณะอย่างจริงจัง จึงทำให้ยืนยันได้ชัดเจนว่า สิ่งที่ดูเหมือนภูเขานี้ แท้จริงแล้วคือ พีระมิดที่สร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์
4. ต่อมาในปี 1959 นักโบราณคดีชื่อ เรอเน มิลลอน (Rene Millon) พร้อมคณะสำรวจ ได้เข้ามาศึกษาระบบอุโมงค์ใต้พีระมิด และพบว่ามีทางเดินหลายสายที่บางส่วนสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคของชาวเตโอติฮัวกันและแอซเท็ก แม้บางส่วนจะถูกปิดตายภายหลัง แต่ก็พบร่องรอยของเครื่องปั้นดินเผา กองไฟ และสิ่งประดิษฐ์จากหลายวัฒนธรรมที่บ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงทางศาสนาและพิธีกรรมในยุคโบราณ
5. ในปี 1971 ระหว่างการติดตั้งระบบไฟฟ้าและการจัดแสดงแสงสีเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว นักโบราณคดีชาวเม็กซิกันชื่อ เออร์เนสโต ตาโบอาดา (Ernesto Taboada) ได้ค้นพบทางเข้าสู่ปล่องลึกประมาณ 7 เมตร บริเวณเชิงบันไดหลักของพีระมิดแห่งดวงอาทิตย์ การสำรวจภายในเผยให้เห็นเครือข่ายอุโมงค์และห้องโถงใต้ดินที่มีความซับซ้อน บางส่วนของอุโมงค์ถูกปิดตายมานาน จนไม่อาจยืนยันได้ว่าถูกปิดตายโดยเจตนาหรือไม่
6. ภายในอุโมงค์ นักโบราณคดีพบหลักฐานโบราณวัตถุ เช่น ค้นพบหลุมฝังศพเพื่อบูชายัญจำนวน 4 แห่ง โดยในนั้น 3 หลุมเป็นที่ฝังของเด็กๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นพิธีกรรมที่มีการบูชายัญ อันเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อทางศาสนาและจักรวาลวิทยาในสมัยนั้น
7. นอกจากนี้ยังพบสิ่งประดิษฐ์และเครื่องปั้นดินเผาที่มีอิทธิพลจากหลายวัฒนธรรมในดินแดนเมโสอเมริกา สิ่งเหล่านี้ทำให้นักวิชาการเสนอทฤษฎีว่า ถ้ำและอุโมงค์ใต้พีระมิดอาจถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวพันกับแนวคิดเรื่อง “ครรภ์แห่งโลก” ซึ่งชาวเตโอติฮัวกันเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของการกำเนิดจักรวาลและชีวิตใหม่
8. ทุกวันนี้ พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์และโบราณสถานเตโอติฮัวกันทั้งเมือง ได้รับการคุ้มครองในฐานะ มรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) ตั้งแต่ปี 1987 พื้นที่โบราณคดีแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดของเม็กซิโก และเป็นหลักฐานชิ้นเอกของความรุ่งเรืองของอารยธรรมเมโสอเมริกัน
💡เกร็ดเสริม : ความเชื่อเรื่อง “ครรภ์แห่งโลก”
ความเชื่อเรื่อง “ครรภ์แห่งโลก” พบได้ทั่วไปในอารยธรรมเมโสอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวมายา แอซเท็ก หรือชนพื้นเมืองกลุ่มอื่นๆ พวกเขามองว่าถ้ำเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ และเป็นจุดกำเนิดของพระอาทิตย์ ดวงจันทร์ และมนุษย์เอง
#TWCHistory #TWCMexico #TWC_Salmon
0 Comment