ไม่กี่วันมานี้มีข่าวจากเยอรมนีว่ามีการตัดสินลงโทษจำคุกหญิงที่ไปด่าคนเข้าเมืองที่ไปก่อเหตุข่มขืนกระทำชำเราจากข้อหา “hate crime” เป็นเวลา 3 วัน ซึ่งเป็นโทษที่หนักกว่าคนก่อเหตุเสียอีก (ส่วนใหญ่มาจากชาติมุสลิม แต่ก็มีชาติโปแลนด์ มอนเตเนโกรและอาร์มีเนียด้วย ส่วนใหญ่ถูกลงโทษคุมประพฤติและมีคนเดียวที่ถูกจำคุกในเรือนจำเยาวชน) จึงเกิดเป็นประเด็นดราม่าในหลายประเทศ

หลายคนเข้าใจว่าการเพิ่มขึ้นของคนเข้าเมืองเป็นต้นเหตุของคดีข่มขืนกระทำชำเราที่เพิ่มขึ้น โดยดูจำนวนคดีที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะหลังการรับคนเข้าเมืองจำนวนมหาศาลในปี 2014-2016 (หลังจากนั้นเยอรมนีรับผู้ลี้ภัยระลอกใหญ่อีกจากอัฟกานิสถานหลังตาลีบันยึดประเทศ และสงครามรัสเซีย-ยูเครน)

แต่จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าคดีข่มขืนกระทำชำเราในเยอรมนียังมีปัญหาเพราะ…
1. ผู้หญิงจำนวนมากไม่กล้าออกมารายงาน โดยจากการศึกษาเมื่อปี 2005 ก่อนการเข้ามาของคนเข้าเมืองระลอกใหญ่ พบว่าจากกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงราว 1 หมื่นคน มี 13% ที่เผชิญกับความรุนแรงทางเพศ (ทั้งข่มขืนกระทำชำเรา บังคับมาอยู่ใกล้ชิด ลวนลาม ฯลฯ) หลังอายุ 16 ปี และในจำนวนนี้มีเพียง 8% (ประมาณ 100 คน) เท่านั้นที่รายงานต่อหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย
2. ผู้ก่อเหตุเกือบครึ่งยังคงเป็นคนใกล้ชิดของผู้เสียหาย โดยจากการศึกษาเดียวกันพบว่าผู้ก่อเหตุความรุนแรงทางเพศ 49% เป็นคู่หรืออดีตคู่ของผู้เสียหาย และในปี 2016 มีรายงานว่าคนเข้าเมืองมีส่วนในคดีความรุนแรงทางเพศ 9.1%
3. คดีข่มขืนกระทำชำเราในเยอรมนีมีอัตราพิพากษาลงโทษต่ำ คือ 13% ในปี 2000 ลดลงจาก 20% ในช่วงทศวรรษ 1980 นอกจากนี้ยังมีอัตราตรวจทางนิติเวชเพียง 23% ซึ่งสะท้อนถึงกระบวนการยุติธรรมของเยอรมนีที่ยังมีปัญหา…
4. คดีข่มขืนกระทำชำเราที่ผู้ต้องหาเป็นคนเข้าเมืองเยาวชนมักถูกโจมตีว่ามีบทลงโทษเบาเกินไป

จากคดีสะเทือนขวัญที่เกี่ยวข้องกับคนเข้าเมืองและคดีข่มขืนกระทำชำเราในเยอรมนีหลายรอบมันได้ทำให้เกิดกระแสต่อต้านคนเข้าเมืองในเยอรมนีอย่างรุนแรง พร้อมกับความนิยมของพรรคและขบวนการขวาจัดต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น …ซึ่งแม้แต่คนไทยบางส่วนก็ยังพลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย ถึงกับบอกว่าสมควรมีผู้นำแบบจิตรกรชาวออสเตรียคนนั้นเลยทีเดียว

…แน่นอนว่าในคดีอาชญากรรมทุกอย่างคนผิดย่อมว่าไปตามผิด แต่การเหมารวมเรื่องนี้ไปโทษคนเข้าเมือง เท่ากับปฏิเสธข้อเท็จจริงว่าถึงไม่มีคนเหล่านั้น ผู้หญิงก็ยังต้องเผชิญกับเรื่องราวเหล่านี้อยู่ดี มันก็น่าคิดว่าฝ่ายขวาจัดนี้ต้องการปกป้องผู้หญิงจริงๆ หรือแค่โหนประเด็นนี้มาโจมตีคนเข้าเมืองแล้วสร้างความนิยมให้กับตัวเองหรือเปล่า?

นอกจากนี้คดีเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากความคิด (ไปเอง) ที่ว่าผู้หญิงที่แต่งกายเปิดเผยเท่ากับ “ยั่ว” หรือ “เชิญชวน” ให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น ความคิดเหล่านี้จำกัดอยู่แค่เฉพาะบางวัฒนธรรมและศาสนาจริงๆ หรือ?

ป.ล. สุดท้ายบางคนโยงไปยังโทษ hate crime ว่า “รุนแรง” กว่าโทษคดีข่มขืนกระทำชำเรา (โดยเฉพาะที่ผู้ต้องหาเป็นเยาวชน) ต้องขยายความนิดนึงว่ากฎหมายนี้มีขึ้นมาเพื่อป้องกันการกลับมาของแนวคิดสุดโต่ง ซึ่งจริงๆ เดิมก็น่าจะมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองยิวนั่นแหละ ซึ่งในปี 2018 มีรายงานว่ามีสัดส่วนผู้ก่อเหตุจากการต่อต้านยิว 41% เป็นมุสลิมหัวรุนแรง 20% เป็นพวกขวาจัด และ 16% เป็นพวกซ้ายจัดนะครับ

#TWCNews #TWCWomen #TWCGermany #TWC_Cheeze