“เกรกอรี รัสปูติน” เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในหน้าประวัติศาสตร์รัสเซียในช่วงปลายราชวงศ์โรมานอฟ โดยมีความใกล้ชิดกับพระราชวงศ์เพราะสามารถประคับประคองอาการเลือดไหลไม่หยุดของพระรัชทายาทได้! อย่างไรก็ตาม เขาถูกกล่าวหาว่ารับสินบน ข่มขืนกระทำชำเรา และมีอิทธิพลเหนือกษัตริย์ จึงถูกขุนนางที่ไม่พอใจจับฆ่าทิ้งในที่สุด รายละเอียดของเรื่องนี้เป็นอย่างไร? ติดตามได้ในบทความนี้นะครับ
ชีวิตช่วงแรก
1. รัสปูตินเกิดเมื่อปี 1869 ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในมณฑลโตบอลสก์ (Tobolsk) ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของจักรวรรดิรัสเซีย แถบไซบีเรีย ได้ชื่อตามนักบุญเกรกอรีแห่งนิสซา (Gregory of Nyssa) สมัยศตวรรษที่ 4
2. เนื่องจากเขาเกิดในครอบครัวชาวนายากจน จึงไม่ได้รับการศึกษา นอกจากนี้เขายังมีประวัติที่ไม่ดีในวัยเด็ก โดยเชื่อว่าอาจเมาสุรา ลักเล็กขโมยน้อย และไม่เคารพทางการ พฤติกรรมผิดศีลธรรมในวัยเด็กนี้เองอาจเป็นที่มาของชื่อ “รัสปูติน” ซึ่งเป็นคำภาษารัสเซียหมายถึง “คนเสเพล” (debauched one)
เขายังเดินทางไปทั่ว และได้พบรักกับหญิงชาวนาคนหนึ่ง และมีบุตรด้วยกัน 7 คน (แต่มีชีวิตรอดจนถึงวัยผู้ใหญ่เหลือ 3 คน)
3. ในปี 1897 รัสปูตินเกิดความสนใจในศาสนาขึ้นมา ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าอาจเป็นเพราะต้องการหนีคดี หรือไม่ก็เพราะเห็นพระแม่มารีย์หรือนักบุญคนหนึ่งในนิมิต หลังจากนั้นเขาละทิ้งครอบครัวและเดินทางแสวงบุญ ซึ่งมีหลักฐานว่าเขาตระเวนไปไกลถึงเขาแอซอสในกรีซ (เป็นที่ที่มีชุมชนนักบวชออร์โธด็อกซ์ที่มีชื่อเสียง) และเยรูซาเล็ม
4. ประมาณปี 1900 เขากลับมายังบ้านเกิด และเริ่มมีสาวกมากขึ้น เริ่มจากสมาชิกครอบครัวและชาวนาในท้องถิ่น เขายังเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะสตาเร็ตส์ (starets) หรือบุคคลศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อว่ามีความสามารถเยียวยาคนป่วยและพยากรณ์อนาคตได้
5. ต่อมาเขาได้ย้ายไปยังกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เนื่องจากเขามีชื่อเสียงมากขึ้น และคนกรุงรัสเซียในขณะนั้นให้ความสนใจกับเรื่องเหนือธรรมชาติและจิตวิญญาณ จึงทำให้มีบาทหลวงผู้ใหญ่ชักชวนให้รัสปูตินเข้ามาเมืองหลวง และยังติดต่อให้เขารู้จักกับพระราชวงศ์
ผู้เยียวยารัชทายาท
6. ซาเรวิชอเล็กเซย์ มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย ทรงประชวรด้วยโรคฮีโมฟีเลีย (โรคเลือดหยุดยากที่สืบทอดทางพันธุกรรม) ทำให้ซาร์และซารีนากังวลเกี่ยวกับพระพลานามัยของพระองค์
7. ช่วงประมาณปี 1905 รัสปูตินเริ่มเข้ามาเยียวยาอเล็กเซย์ ซึ่งเขาก็สามารถประคับประคองอาการของรัชทายาทได้ด้วยการสวดมนต์เพียงเท่านั้น!
อย่าไรก็ตาม มีการตั้งสมมติฐานในภายหลังว่าสาเหตุที่เขาทำให้อาการของรัชทายาทดีขึ้นได้นั้นอาจมาจากความสามารถในการสะกดจิต (ซึ่งนักบวชออร์โธด็อกซ์หลายท่านในยุคนั้นก็ทำได้) หรือการตัดยาแอสไพรินออกจากรายการยาของรัชทายาท (สมัยนั้นยังเชื่อกันว่าแอสไพรินเป็นยาครอบจักรวาล แต่แอสไพรินจะยิ่งทำให้เลือดออกง่ายมากกว่าเดิม)
8. เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว รัสปูตินจึงได้รับความโปรดปรานจากซาร์และซารีนาอย่างมาก และยังสนิทสนมกับพระโอรสธิดาของพระองค์ ถึงขั้นสามารถเข้าห้องนอนของเด็กหญิงทั้งสี่ขณะกำลังสวมชุดนอนได้
9. ความสนิทสนมกับพระราชวงศ์นี้ทำให้เขาตกเป็นเป้าโจมตีหลายเรื่อง ซึ่งบางเรื่องก็จริงบางเรื่องก็แต่งขึ้น เช่น มีการกล่าวหาว่าเขาข่มขืนกระทำชำเราหญิงรัสเซียหลายคน หลับนอนกับหญิงที่เป็นสาวก และที่หนักที่สุดคือคบชู้กับซารีนา!
ในปี 1911 อัครเสนาบดีรายงานความประพฤติต่างๆ ของรัสปูตินต่อซาร์ ทำให้พระองค์ต้องตัดสินพระทัยเนรเทศรัสปูตินไป แต่ซารีนาก็ทรงเรียกเขากลับมาภายในไม่กี่เดือน หลังจากนั้นซาร์ก็ไม่ได้ลงโทษรัสปูตินอย่างไรอีก เพราะไม่อยากขัดพระทัยพระมเหสี
ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ในช่วงหลังพบว่ารัสปูตินไปเที่ยวซ่องโสเภณีและหลับนอนกับผู้หญิงหลายคนจริง แต่คำว่า “บ้ากาม” อาจเป็นการกล่าวหาเกินจริง เพราะอาจเป็นการเติมแต่งเรื่องของสื่อรัสเซียในสมัยนั้นซึ่งมีเสรีภาพสื่อพอสมควร ทำให้มีการนำเสนอแบบแทบลอยด์โจมตีบุคคลใกล้ชิดซาร์ได้ (คู่นอนอาจจะสมยอมทุกคน แต่ที่แน่ๆ รัสปูตินก็ไม่ใช่คนรักเดียวใจเดียวแน่นอน)
อำนาจและศัตรู
10. อิทธิพลในราชสำนักของรัสปูตินถึงจุดสูงสุดหลังปี 1915 เมื่อซาร์เสด็จฯ ไปบัญชาการรบยังแนวหน้าในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ซารีนาเป็นผู้บริหารราชการแทน รัสปูตินเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ และมีคนเข้าหารัสปูตินมากมาย ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาแทรกแซงการแต่งตั้งฝ่ายศาสนา บรรดาเสนาบดี (มักเป็นคนไม่มีความสามารถ) และยังเข้าแทรกแซงกิจการทหารในบางเรื่องด้วย นี่จึงเป็นที่มาของการโจมตีว่าเขารับสินบนและชักใยอยู่เบื้องหลังซารีนา
11. กลุ่มเชื้อพระวงศ์และอนุรักษนิยมทนพฤติกรรมของรัสปูตินไม่ไหวจึงสมคบกันลอบสังหาร โดยมีหัวหน้าคนหนึ่งคือ เจ้าชายเฟลิกซ์ ยูซูปอฟ ตกลงกันว่าจะลวงรัสปูตินมาฆ่าที่วังมอยกาของตระกูลยูซูปอฟ
12. เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 1916 (หรือ 16 ธันวาคมตามปฏิทินจูเลียน) รัสปูตินถูกลอบสังหาร ซึ่งรายเอียดของเหตุการณ์นั้นไม่ชัดเจน ตำนานเล่าว่าเขาถูกวางยาพิษไซยาไนด์และยิงเข้าที่อกแล้วยังลุกขึ้นมาได้อีก จนถูกยิงอีกนัดและถูกห่อผ้าไว้เอาไปโยนลงแม่น้ำ
13. ศพของเขาถูกพบในวันที่ 1 มกราคม 1917 ผลการชันสูตรพลิกศพพบว่าตามตัวมีรอยถูกยิง 3 นัด (มีนัดหนึ่งจ่อที่หน้าผาก) แผลบาดที่ลำตัวด้านซ้าย และบาดแผลอื่นอีกมากซึ่งคาดว่าเกิดขึ้นหลังเสียชีวิต และไม่พบหลักฐานว่าถูกวางยาพิษ ซึ่งแปลว่าหลายเรื่องที่ยูปูซอฟเล่าไว้ในเหตุการณ์ลอบสังหารและคนจำต่อๆ กันมานั้น อาจไม่เป็นความจริงทั้งหมดก็ได้
มรดก
14. ศพของเขาถูกฝังเมื่อวันที่ 2 มกราคม 1917 ในทีแรกพระราชวงศ์ตั้งใจจะตั้งโบสถ์เล็กๆ ให้ แต่หลังการปฏิวัติล้มล้างระบอบซาร์ในเดือนมีนาคม 1917 ก็มีทหารส่วนหนึ่งนำศพเขามาเผาทิ้งเพื่อมิให้ผู้สนับสนุนระบอบเก่ามารวมตัวกัน
15. รัสปูตินมีลูกเท่าที่ทราบ 3 คน รวมทั้งมาเรีย รัสปูติน ซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยไปยังสหรัฐ เธอมักเล่าเสมอว่าบิดาของเธอนั้นเปรียบได้กับนักบุญ และเรื่องเสียๆ หายๆ ที่เขาได้รับนั้นล้วนเป็นการกล่าวหาจากศัตรูทั้งสิ้น เธอประกอบอาชีพเป็นนักแสดงละครสัตว์ เต้นคาบาเร่ต์ และอ้างว่าตัวเองเป็นผู้มีพลังจิต เธอเสียชีวิตในปี 1977
16. อิทธิพลของรัสปูตินในราชสำนักได้บ่อนทำลายระบอบซาร์อย่างมาก โดยพวกบอลเชวิคถือว่าเขาเป็นสัญลักษณ์ของการฉ้อฉลในราชสำนัก ส่วนการลอบสังหารเขานั้นเป็นเพียงความพยายามของชนชั้นนำในการรักษาอำนาจของตนเหนือชนชั้นล่างต่อไป อเล็กซานเดอร์ เคเรนสกี ผู้นำรัฐบาลชั่วคราวหลังการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ (February Revolution) ถึงกับระบุว่า “หากไม่มีรัสปูตินก็คงไม่มีเลนิน”
และนี่คือเรื่องราวของชายที่ได้ชื่อว่าสามารถเยียวยารัชทายาทของรัสเซียได้ แต่สุดท้ายด้วยความประพฤติที่ไม่อยู่ในกรอบของสังคมในยุคนั้นจึงมีส่วนในการนำมาซึ่งการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซียในที่สุด
0 Comment