((( “ปฏิบัติการเสิร์ชไลท์” โศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตชาวบังกลาเทศนับล้าน )))

“บังกลาเทศ” ดินแดนที่หลายท่านรู้จักในปัจจุบันว่า เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีเอกลักษณ์ด้านภาษา–วัฒนธรรมที่น่าสนใจ

ทว่าหากย้อนไปก่อนปี 1971 ที่นี่คือ “ปากีสถานตะวันออก” ส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถานที่ถูกรวมเข้ากับ “ปากีสถานตะวันตก” หลังการแบ่งแยกประเทศอินเดีย-ปากีสถาน

การรวมตัวครั้งนั้นไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของชาวเบงกาลี หากแต่เป็นผลทางการเมืองของมหาอำนาจและผู้นำทางการเมืองในเวลานั้น ซึ่งทำให้เกิด “ประเทศปากีสถาน” ที่แปลกประหลาด เพราะดินแดนทั้งสองส่วนถูกคั่นกลางด้วยอินเดียยาวกว่า 1,600 กิโลเมตร ทั้งที่ชาวเบงกาลีในตะวันออกพูดภาษาเบงกาลี มีวัฒนธรรม ศิลปะ และรากประวัติศาสตร์ต่างจากผู้ปกครองในปากีสถานตะวันตก

ในที่สุด ความแตกต่างทาง ภาษาและวัฒนธรรม ก็กลายเป็นเชื้อไฟแห่งความขัดแย้ง รัฐบาลกลางปากีสถานประกาศให้อูรดูเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียว จุดชนวน “ขบวนการภาษา” ในปี 1952 ที่ชาวเบงกาลีหลายคนต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องเกียรติและสิทธิในการใช้ภาษาแม่ของตน

ทั้งความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจก็เด่นชัด รายได้และงบประมาณของประเทศส่วนใหญ่ถูกรวมศูนย์อยู่ที่ปากีสถานตะวันตก ขณะที่ปากีสถานตะวันออกซึ่งมีประชากรมากกว่า กลับถูกละเลยด้านการลงทุนและพัฒนา แม้ดินแดนนี้จะสร้างรายได้หลักให้ปากีสถาน แต่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ก็ไหลไปสู่ส่วนตะวันตกเสียมาก

ทั้งหมดนี้ทำให้ชาวเบงกาลีรู้สึกว่าตนเป็น “พลเมืองชั้นสอง” กระแสชาตินิยมเบงกาลีจึงค่อยๆ ก่อตัวแรงขึ้นเรื่อยๆ และนำไปสู่จุดแตกหักครั้งใหญ่ เมื่อกองทัพปากีสถานเปิดปฏิบัติการที่มีชื่อว่า “ปฏิบัติการเสิร์ชไลท์” (Operation Searchlight) เพื่อบดขยี้ความฝันแห่งเอกราชของชาวเบงกาลี…
ปฏิบัติการนี้มีเป้าหมายคืออะไร ความโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับชาวบังกลาเทศนั้นมากมายเพียงใด

ติดตามรับชมไปพร้อมกันครับ…

_________________________________

🛞 ปากีสถานตะวันตก
🌡️ จุดเดือด
🪖 ปฏิบัติการเสิร์ชไลท์
⚔️ หน่วยตอบโต้
💬 สงครามอินเดีย-ปากีสถาน ครั้งที่สาม

_________________________________

🛞 ปากีสถานตะวันตก

1. หลังจากการก่อตั้งประเทศปากีสถานในปี 1947 ดินแดนแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนที่ห่างกันไกลมาก นั่นคือ ปากีสถานตะวันตก (ปัจจุบันคือปากีสถาน) และ ปากีสถานตะวันออก (ปัจจุบันคือบังกลาเทศ) โดยทั้งสองภูมิภาคมีความแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งทางด้านภาษา เชื้อชาติ และวัฒนธรรม

ชาวตะวันตกพูดภาษาอูรดู ส่วนชาวตะวันออกส่วนใหญ่เป็นชาวเบงกาลี แม้ประชากรในตะวันออกจะมากกว่าตะวันตก แต่การปกครองและการจัดสรรงบประมาณกลับถูกผูกขาดโดยชนชั้นนำจากฝั่งตะวันตก

2. ปัญหาความแตกต่างเริ่มเด่นชัดตั้งแต่เกิด “ขบวนการเรียกร้องภาษาเบงกาลี” (Language Movement) ในปากีสถานตะวันออก ในปี 1952
เมื่อรัฐบาลปากีสถานประกาศให้อูรดูเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียวทั่วประเทศ ชาวเบงกาลีซึ่งพูดภาษาเบงกาลีกว่า 50 ล้านคนในขณะนั้นจึงออกมาประท้วงอย่างกว้างขวาง

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1952 ตำรวจและทหารได้เปิดฉากยิงใส่กลุ่มนักศึกษาผู้ประท้วงที่มหาวิทยาลัยธากา ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ จุดประกายความรู้สึกว่าชาวเบงกาลีถูกกดขี่ทั้งทางภาษาและอัตลักษณ์

3. เวลาผ่านไปถึงปี 1966 ชีค มูจิบูร์ เราะห์มาน (Sheikh Mujibur Rahman) ผู้นำพรรคสันนิบาตอวามี (Awami League) ได้เสนอ “ข้อเสนอ 6 ประการ” (Six-Point Programme) ใจความสำคัญคือ การสร้างรากฐานการปกครองตนเองของปากีสถานตะวันออก ข้อเสนอเหล่านี้รวมถึงการมีสิทธิ์ควบคุมนโยบายเศรษฐกิจ การเก็บภาษี การใช้รายได้ และการควบคุมการเงินในท้องถิ่น ซึ่งสะท้อนความไม่พอใจที่ทรัพยากรจากเบงกอลตะวันออกถูกดูดซับไปใช้พัฒนาฝั่งตะวันตกเป็นหลัก

4. จุดที่เร่งปฏิกิริยาให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น เกิดขึ้นในการเลือกตั้งทั่วไปในปี 1970 เมื่อพรรคสันนิบาตอวามี ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในปากีสถานตะวันออก ได้ 167 จาก 169 ที่นั่งในสภา ซึ่งมากพอจะจัดตั้งรัฐบาลระดับชาติได้ แต่ฝ่ายปากีสถานตะวันตก ไม่ยอมรับผลดังกล่าว ขณะที่ นายพลยาฮยา ข่าน (Yahya Khan) ประธานาธิบดีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็เลื่อนการเปิดประชุมสภาเพื่อถ่วงเวลา การตัดสินใจครั้งนี้สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวเบงกาลีทั่วทั้งตะวันออก และนำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ภายใต้การนำของมูจิบูร์ เราะห์มาน

_________________________________

🌡️ จุดเดือด

5. เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งเสียที ทำให้ในเดือนมีนาคมปีต่อมา ฝ่าย เราะห์มานประกาศ “ขบวนการไม่ให้ความร่วมมือ” โดยเรียกร้องให้ชาวเบงกาลีหยุดจ่ายภาษี ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งรัฐบาลกลาง และควบคุมกิจการภายในด้วยตนเอง เมืองธากาและหัวเมืองใหญ่เต็มไปด้วยผู้ประท้วงนับล้านคนที่รวมตัวกันตะโกนคำว่า “จัยบังกลา” (ชัยชนะแด่บังกลา) บรรยากาศของความเป็นเอกราชเริ่มเด่นชัด

6. รัฐบาลปากีสถานตอบสนองด้วยการส่งกองทัพจากฝั่งตะวันตกเข้ามาเสริมกำลังในปากีสถานตะวันออกอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ก็เกิดเหตุปะทะระหว่างชาวเบงกาลีกับชาวบิฮารีที่อาศัยในจิตตะกองและพื้นที่อื่นๆ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน เหตุการณ์เหล่านี้ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของกองทัพปากีสถานว่าจำเป็นต้อง “จัดการเด็ดขาด” เพื่อป้องกันการแบ่งแยกดินแดน

ในที่สุด เมื่อการเจรจาทางการเมืองระหว่างยาฮยา ข่าน และมูจิบูร์ เราะห์มานล้มเหลว “ปฏิบัติการเสิร์ชไลท์” (Operation Searchlight) จึงถูกร่างแผนการขึ้น ในเดือนมีนาคมปี 1971 แผนดังกล่าว มีเป้าหมายชัดเจน คือการบดขยี้พลังทางการเมืองและการต่อต้านของชาวเบงกาลีภายในเวลาอันสั้น แม้มีผู้นำทหารที่ประจำการอยู่ปากีสถานตะวันออกมาคัดค้าน ก็ไม่เป็นผล และถูกปลดออกจากตำแหน่ง แทน

7. เงื่อนไขแห่งความสำเร็จของแผนการนี้คือ

1. ปฏิบัติการจะต้องเปิดฉากพร้อมกันทั่วทั้งปากีสถานตะวันออก
2. ต้องจับกุมแกนนำทางการเมือง แกนนำนักศึกษา รวมถึงบุคคลสำคัญในองค์กรด้านวัฒนธรรมและคณาจารย์ให้ได้มากที่สุด
3. ปฏิบัติการในกรุงธากาจะต้องประสบความสำเร็จ 100% โดยมหาวิทยาลัยธากาจะต้องถูกยึดและตรวจค้นอย่างทั่วถึง
4. อนุญาตให้ใช้กำลังอาวุธและการยิงได้อย่างเต็มที่ เพื่อความปลอดภัยของค่ายทหาร
5. ต้องตัดการสื่อสารภายในประเทศและการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมด รวมทั้งโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ และโทรเลข
6. ต้องทำการปลดอาวุธและทำให้ทหารปากีสถานตะวันออก (ทหารเชื้อสายเบงกาลี) หมดความสามารถในการต่อสู้
7. เพื่อหลอกลวงพรรคสันนิบาตอวามี ให้ประธานาธิบดี ยาฮยา ข่าน แสร้งทำเป็นยังคงเจรจา และต้องทำท่าทีเหมือนยอมรับข้อเรียกร้องของพรรคสันนิบาตอวามี

ปฏิบัติการดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นในค่ำคืนวันที่ 25 มีนาคม 1971 และได้กลายเป็นบทนำของโศกนาฏกรรมการสังหารหมู่ที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เอเชียใต้

_________________________________

🪖 ปฏิบัติการเสิร์ชไลท์

7. คืนวันที่ 25 มีนาคม 1971 คือจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการเสิร์ชไลท์ เมื่อกองทัพปากีสถานเปิดฉากโจมตีกรุงธากา เมืองหลวงของปากีสถานตะวันออก มีการประกาศเคอร์ฟิวในช่วงเวลา 01.10 น. และเริ่มปิดสถานีโทรศัพท์/โทรเลข/วิทยุ และปิดเครื่องรับส่งสัญญาณทั้งหมด ร่วมไปถึงการปิดกั้นเมืองโดยทหารปากีสถานตะวันออกยึดครองถนน ทางรถไฟ การสื่อสารทางน้ำ และลาดตระเวนแม่น้ำ ไว้ได้ทั้งหมด

พวกกองกำลังทหารราบพร้อมรถถังและปืนกลหนัก บุกเข้าสู่ย่านต่างๆ ของธากา ตั้งแต่ย่านเก่า (Old Dhaka) จนถึงมหาวิทยาลัยธากา ศูนย์กลางปัญญาชนและนักศึกษาที่มีบทบาทนำในการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราช

8. หอพักนักศึกษาในเมืองธากา ถูกยิงถล่มอย่างไม่เลือกหน้า เนื่องจากพวกนักศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ต้องการเอกราช นักศึกษาและอาจารย์จำนวนมากถูกสังหารทันที ผู้ที่ถูกจับกุมบางรายถูกบังคับให้ออกมาเรียงแถวแล้วถูกยิงต่อหน้าสายตาเพื่อนๆ ตัวเลขผู้เสียชีวิตในมหาวิทยาลัยธากาคืนนั้นมีตั้งแต่หลายร้อยถึงกว่าพันคน

9. นอกเหนือจากมหาวิทยาลัย กองทัพยังเข้าโจมตีพื้นที่สำคัญ เช่น สนามบิน, สถานีโทรทัศน์, อาคารหนังสือพิมพ์, และย่านที่อยู่อาศัยของนักเคลื่อนไหวพรรคสันนิบาตอวามี

ผู้ที่ถูกมองว่าเป็นผู้นำขบวนการแบ่งแยกดินแดน ถูกล่าและสังหาร ขณะเดียวกัน ชีค มูจิบูร์ เราะห์มานถูกจับกุมคาบ้านพักในย่าน แล้วถูกส่งตัวไปคุมขังที่ปากีสถานตะวันตกในทันที

ทำให้เช้าวันที่ 26 มีนาคม ธากากลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังและศพนับไม่ถ้วน ผู้เห็นเหตุการณ์จำนวนมากระบุว่าเป็น “คืนที่ยาวนานที่สุดและน่าสยดสยองที่สุดในประวัติศาสตร์เบงกอล”

10. ดร. โมเคอร์รอม ฮอสเซน ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มหาวิทยาลัยรัฐเวอร์จิเนีย( Virginia State University) ได้บรรยายถึงเหตุการณ์ในคืนวันที่ 25 มีนาคมไว้ว่า

“เมื่อการโจมตีเริ่มต้นขึ้น รถถังของกองทัพก็เริ่มเคลื่อนพลไปในทิศทางต่างๆ เพื่อทำลายเป้าหมาย กองกำลังหนึ่งเคลื่อนพลผ่านถนนสายหลักจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองและโจมตีสำนักงานหนังสือพิมพ์หน้าสำนักงานวิทยุปากีสถานธากา และกองกำลังเดียวกันนี้ก็เข้าควบคุมสถานีวิทยุ อีกกองกำลังหนึ่งมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยธากาและโจมตีหอพักนักศึกษา”

การโจมตีครั้งนี้ มีบันทึกภาพวิดีโอโดยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีปากีสถานตะวันออก (ต่อมาคือบังกลาเทศ) เทปบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าวถูกลักลอบนำออกนอกประเทศเพื่อเป็นการรายงานเหตุการณ์สังหารหมู่ให้โลกภายนอกได้รับทราบโดยตรง บริเวณที่เกิดเหตุโจมตีในหอพักนักศึกษา ยังมีการโจมตีแบบเฉพาะเจาะจงที่หอพักคณาจารย์ และศาสตราจารย์สองสามคนถูกสังหารในคืนอันน่าหวาดผวานั้น

11. ในเขตเมืองเก่าของธากา (Old Dhaka) ยังมีประชาชนถึง 700 คนถูกสังหารด้วยการใช้ไฟโดยที่พวกเขายังไม่เสียชีวิต และจากข้อมูลที่รวบรวมได้จากหลายแหล่งทั้งในและต่างประเทศ ชี้ว่าในค่ำคืนอันโหดร้ายนั้น มีชาวเบงกาลีเสียชีวิตมากถึง 7,000 คนในธากาเพียงเมืองเดียว”

(บันทึกหลายแหล่งระบุว่ามีประชาชนหลายหมื่นคนถูกฆ่าสังหารในช่วงสองเดือนนี้)

12. หลังจากยึดธากาได้สำเร็จ กองทัพปากีสถานขยายปฏิบัติการไปยังเมืองท่าจิตตะกองในวันที่ 27 มีนาคม ชาวเมืองจำนวนมากรวมตัวกันต่อต้าน มีการยึดคลังอาวุธและปะทะกับกองทัพปากีสถาน ทว่าในที่สุดเมืองก็ถูกปราบปรามอย่างโหดเหี้ยม การยิงถล่มทั้งหมู่บ้านและการประหารหมู่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

13. จำนวนผู้เสียชีวิตตลอดช่วงปฏิบัติการครั้งนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียง บางแหล่งคาดว่าอย่างน้อยหลายแสนราย ขณะที่รัฐบาลบังกลาเทศประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตมากถึง 3 ล้านคน ตลอดสงครามปลดปล่อยบังกลาเทศ ซึ่งรวมทั้งจำนวนผู้ที่ถูกสังหารโดยตรงระหว่างการปราบปราม และผู้ที่เสียชีวิตจากผลกระทบทางมนุษยธรรม เช่น ความอดอยาก โรคระบาด และผู้อพยพลี้ภัยจำนวนมหาศาล

( ข้อมูลใน วิกิพีเดีย ระบุว่ามีประชาชนประมาณ 10 ล้านคนอพยพออกจากปากีสถานตะวันออก และประมาณ 6.7 ล้านคนต้องอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยกว่า 825 แห่ง)

14. ฝ่ายกองทัพปากีสถานตะวันตกสามารถยึดครองพื้นที่สำคัญของปากีสถานตะวันออกได้อย่างรวดเร็วตลอดช่วง เมษายนถึงพฤษภาคม 1971 กองทัพปากีสถานสามารถกดดันกองกำลังท้องถิ่นและจัดตั้งฝ่ายบริหารภายใต้การควบคุมของตนเอง แม้จะมีการต่อต้านกระจายอยู่ทั่วไป แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ กองทัพปากีสถานถือว่าครอบครองเมืองหลักและเส้นทางคมนาคมสำคัญทั่วทั้งภาคตะวันออกได้ภายในเวลาไม่ถึง สองเดือนหลังเริ่มปฏิบัติการ

อย่างไรก็ตาม การยึดครองนี้เป็น “ชัยชนะเพียงชั่วคราว” เพราะแม้เมืองและถนนจะถูกควบคุมโดยกองทัพ แต่ในชนบทและแนวชายแดนกลับเต็มไปด้วยกองกำลัง ที่ค่อยๆ เริ่มต่อต้านในรูปแบบสงครามกองโจรอย่างต่อเนื่อง

_________________________________
⚔️ หน่วยตอบโต้

15. การปราบปรามชาวบังกลาเทศไม่ได้ทำให้พวกเขายอมจำนนทั้งหมด ตรงกันข้ามมันได้สร้างความโกรธแค้นให้ ชาวบ้าน นักศึกษา อดีตทหาร และตำรวจจำนวนมากหันไปร่วมกับกองกำลังต่อต้านที่เรียกว่า มุกติบาฮินี (Mukti Bahini) หรือ กองทัพปลดปล่อยบังกลาเทศ ที่พึ่งก่อตั้งขึ้นในช่วงสงครามนี้

16. พวกเขาใช้ยุทธวิธีกองโจร โดยการซุ่มโจมตีแนวเสบียงและฐานที่มั่นของทหารปากีสถานในชนบทและตามเส้นทางคมนาคม กำลังรบเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนด้านที่พักพิงและเสบียงจากชาวบ้าน รวมถึงได้รับการฝึกและอาวุธจากประเทศอินเดียที่อยู่ชายแดนติดกัน

การสู้รบระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นไปอย่างดุเดือดมาก ฝ่ายปากีสถานตะวันตก งัดทุกวิธีการเพื่อปราบปรามพวกมุกติบาฮินี ให้ได้ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ถูกส่งเข้าร่วมปฏิบัติการ อย่างไรก็ตามก็ปราบได้ยากเพราะพวกเขาไม่ใช่กองกำลังปักหลักสู้รบ

17. อย่างไรก็ตาม ยุทธวิธีการรบดังกล่าวส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง และทำให้ประชาชนจากปากีสถานตะวันออกจำนวนมหาศาลตัดสินใจหลบหนีออกนอกประเทศ มีผู้ลี้ภัยเกือบ 10 ล้านคนข้ามพรมแดนเข้าสู่รัฐเบงกอลตะวันตก อัสสัม และทริปุระของอินเดีย ความรุนแรงที่ทวีขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ได้เปิดทางให้อินเดีย ซึ่งเป็นคู่อริตัวฉกาจของปากีสถานเข้ามามีบทบาทแทรกแซงโดยตรงในสงครามครั้งนี้

_________________________________
💬 สงครามอินเดีย-ปากีสถาน ครั้งที่สาม

18. การที่มีผู้ลี้ภัยชาวเบงกาลีจากปากีสถานตะวันออกเกือบ 10 ล้านคน หลั่งไหลเข้าสู่เขตแดนอินเดีย กลายเป็นวิกฤตด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ภาระในการดูแลผู้ลี้ภัยจำนวนมหาศาลนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและสังคมของอินเดียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งยังสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลอินทิรา คานธีต้องแสวงหามาตรการตอบสนอง เนื่องจากอินเดียกับปากีสถานตะวันตกมีความขัดแย้งทางการเมืองและความมั่นคงอยู่ก่อนแล้ว

19. ในระยะแรกอินเดียไม่ต้องการขัดแย้งกับปากีสถานตะวันตกโดยตรง จึงเลือกสนับสนุนการต่อสู้เพื่อเอกราชของ กลุ่มมุกติบาฮินี (Mukti Bahini) ด้วยการให้การฝึกทางทหารและส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงกับกองทัพปากีสถาน

20. การที่อินเดียให้การสนับสนุนกลุ่มมุกติบาฮินีอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการฝึก การจัดหาอาวุธ และการลี้ภัยแก่ผู้คนจากปากีสถานตะวันออก ได้สร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงต่อปากีสถานตะวันตก ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศซึ่งตึงเครียดอยู่แล้วจึงยิ่งทวีความเปราะบาง รัฐบาลปากีสถานมองว่า หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไป อินเดียอาจยกระดับการสนับสนุนจนเข้ามาแทรกแซงโดยตรง

เพื่อป้องกันไม่ให้อินเดียได้เปรียบ ปากีสถานตะวันตกจึงตัดสินใจเดินเกมเชิงรุก เปิดฉาก ปฏิบัติการ ‘เชงกิซ ข่าน’ (Operation Chengiz Khan) ในช่วงปลายปี 1971 ด้วยการโจมตีฐานทัพอากาศอินเดียหลายแห่งทางฝั่งตะวันตก หวังทำลายขีดความสามารถทางอากาศของอินเดียและสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ แต่กลับกลายเป็นการจุดชนวนให้ “สงครามอินเดีย–ปากีสถาน ครั้งที่สาม” ปะทุขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน

21. สงครามครั้งนี้ทำให้กองทัพอินเดียเคลื่อนกำลังเข้าสู่ปากีสถานตะวันออก พร้อมประสานการรบกับมุกติบาฮินีในพื้นที่ชนบทและแนวชายแดน เป้าหมายสูงสุดของแนวรบด้านตะวันออกคือการเข้ายึดกรุงธากา ขณะที่แนวรบด้านตะวันตกมุ่งสกัดกั้นไม่ให้ปากีสถานสามารถขยายการโจมตีเข้าสู่อินเดียได้ ความขัดแย้งจึงปะทุเป็นสงครามใหญ่เต็มรูปแบบ ซึ่งท้ายที่สุดได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์และการกำเนิดของรัฐใหม่อย่าง “บังกลาเทศ”

#TWCHistory #TWCbangladesh #TWCIndia #TWCpakistan #TWC_Salmon