กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว สโนว์ไวท์ เจ้าหญิงผู้เลอโฉมได้ถูกราชินีใจร้าย ผู้เป็นแม่เลี้ยงไล่ล่า เพราะเธอมีความงามที่ล้ำเลิศที่สุดในปฐพี หากแต่เธอยังสามารถเอาชีวิตรอดและอาศัยอยู่กับคนแคระทั้ง 7 ทว่าราชินียังไม่ลดละ ได้นำแอปเปิ้ลยาพิษให้เธอกินจนหมดลมหายใจ แต่เมื่อเจ้าชายได้จุมพิตนางทำให้นางฟื้นขึ้นมา หลังจากนั้นทั้งสองก็ครองรักกันอย่างมีความสุข
… นี่คือเรื่องราวของ “สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด” แอนิเมชันของดิสนีย์อันเป็นที่โปรดปรานของใครหลายคน ด้วยการเล่าเรื่องที่ลงตัว ภาพที่สวยงามและพร้อมเพลงที่ถูกขับร้องออกมาอย่างไพเราะ
สโนว์ไวท์ สร้างชื่อเสียงให้กับดิสนีย์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และทำให้สร้างภาพฝันของเด็กหลายคนๆ อยากเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายสักครั้งหนึ่งในชีวิต
แต่ในปี 2025 นี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ดิสนีย์กลับทำสิ่งที่สวนทางกับภาพฝันที่เคยวาดไว้ของผู้ชื่นชอบเจ้าหญิงดิสนีย์ ด้วยการเข็นภาพยนตร์เรื่อง “สโนว์ไวท์” ฉบับคนแสดงในภาพจำที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
แม้ตัวเลขรายได้ยังไม่แน่นอน แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ชมออกมาในเชิงลบถึงลบมากที่สุด ในบรรดาเจ้าหญิงคนแสดงที่สร้างขึ้นไม่นานมานี้ นอกจากภาพจำในเรื่อง สโนว์ไวท์ ที่ไม่คุ้นตาแล้วยังมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ส่อแววว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ
เราจึงจะพาย้อนกลับไปรำลึกตั้งแต่ต้นว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่กับภาพยนตร์เรื่อง สโนว์ไวท์ ทำไมถึงถูกวิจารณ์ในเชิงลบได้ขนาดนี้
นี่จะเป็นเรื่องราวว่าทำไมดิสนีย์ถึงพยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเจ้าหญิงตัวเองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
นี่จะเป็นเรื่องราวที่อธิบายว่าผู้ชมอย่างเราล่ะต้องการอะไรกันแน่จากภาพยนตร์ดิสนีย์
เชิญติดตามไปพร้อมๆกัน เมื่อพร้อมแล้วตะโกนพร้อมกันว่า โอ้ ทูเดิลส์!
_____________________________________________
◾สโนว์ไวท์และดราม่าทั้งหลาย 🍎
◾Woke คือสิ่งที่ทำลายศรัทธาของผู้ชม ⚡
◾ปรับเปลี่ยนจนไม่เหมือนเดิม 💫
◾ค่านิยมแบบอนุรักษ์นิยม 🌎
◾ดิสนีย์เริ่มปรับสู่ความหลากหลาย 💌
◾อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของดิสนีย์ 🏰
◾ได้รับเสียงตอบรับในแง่ลบอย่างล้นหลาม
◾สิ่งที่ผู้ชมต้องการ ⭐
____________________________________________
🏰 สโนว์ไวท์และดราม่าทั้งหลาย 🍎
1. จุดเริ่มต้นของ สโนว์ไวท์ฉบับคนแสดง มีการประกาศวางแผนสร้างมาตั้งแต่ปี 2016 และภายหลังได้วางตัวให้ มาร์ค เว็บ (Marc Webb) เป็นผู้กำกับเรื่องราวของเจ้าหญิงองค์นี้
2. ดราม่าเกิดขึ้นในปี 2021 เมื่อมีดิสนีย์ประกาศผู้รับบทสโนว์ไวท์ฉบับคนแสดงเป็น เรเชล เซกเลอร์ นักแสดงอเมริกันเชื้อสายละตินและโปแลนด์ ทันได้นั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากโซเชี่ยลต่างถาโถมเข้าใส่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทันที
สิ่งที่พูดคนมักอ้างถึงคือภาพลักษณ์ของสโนว์ไวท์ ที่เธอนั้นต้องมีผิวขาวผุดผ่องราวกับหิมะ ซึ่งไม่ใช่กับ เรเชล ที่มีเชื้อสายลาติน
เรเชล เธอมีเสียงที่ไพเราะอย่างปฏิเสธไม่ได้ จากผลงานก่อนหน้าเรื่อง West Side Story ในปีเดียวกันของผู้กำกับชื่อดังอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก ทว่าเสียงอันไพเราะไม่ได้ช่วยให้กระแสลบต่อภาพลักษณ์สโนว์ไวท์ของเธอลดลงแต่อย่างใด
แน่นอนว่าเมื่อมี สโนว์ไวท์ ต้องมีแม่มดใจร้ายและผู้ที่ได้รับบทนี้ไปคือ กัล กาด็อท นักแสดงเชื้อสายอิสราเอล ซึ่งเธอจะได้รับคำวิจารณ์ในด้านลบเช่นกันแต่ไม่เท่ากับที่ เรเชล ต้องเผชิญ
3. สิ่งที่สร้างรอยร้าวให้กับผู้ชม เกิดขึ้นเมื่อเรเชลได้ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับนิยามของ แอนิเมชันสโนว์ไวท์ไว้คร่าวๆว่า เป็นเรื่องราวความรักของเธอกับผู้ชายที่คอยสะกดรอย (สตอล์กเกอร์) ตามเธอ ซึ่งสโนว์ไวท์ที่เธอแสดงจะเป็นการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเธอ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความรักเลย
อีกทั้งเธอยังให้สัมภาษณ์อีกสื่อหนึ่งว่า ตอนเด็กๆเธอกลัวแอนิเมชันเรื่องนี้มาก จนกระทั่งเธอหยิบกลับมาดูในรอบสิบปีระหว่างเตรียมบทเท่านั้นเอง ทั้งยังชี้ว่าแนวคิดของแอนิเมชันค่อนข้าง “ล้าสมัยอย่างมาก”อย่างในเรื่องผู้หญิงควรวางตัวอย่างไร
คำสัมภาษณ์ของเธอถูกนำมาพูดถึงบนโซเชียลมีเดีย และได้สร้างความโกรธเคืองจากแฟนคลับดิสนีย์และกลุ่มอนุรักษ์นิยมจำนวนมาก ที่มองว่าเธอไม่เคารพผลงานต้นฉบับที่พวกเขารักเอาเสียเลย
🏰Woke คือสิ่งที่ทำลายศรัทธาของผู้ชม ⚡
4.เธอถูกนิยามว่าเป็นหนึ่งในพวก Woke ในทันที ความหมายของคำนี้คือการตื่นตัวทางสังคม โดยเฉพาะเรื่องความยุติธรรมทางเชื้อชาติ เพศ และสิทธิของกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ เช่น การสนับสนุน LGBTQ+ การเรียกร้องสิทธิของคนผิวดำ หรือการสนับสนุนบทบาทสตรีในสังคม
ภายในคำนิยามที่ดูสนับสนุนความเท่าเทียมนี้ กลับกลายเป็นแง่ลบในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องจาก Woke มียัดเยียดค่านิยมมากเกินไปโดยเฉพาะในสื่อบันเทิง เช่น เกม และภาพยนตร์ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงตัวละครหรือเนื้อหาดั้งเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดนี้อยู่บ่อยครั้ง เช่นเดียวกับภาพยนต์ สโนว์ไวท์ ฉบับคนแสดงนี้
5.เรเชลเคยออกมาวิจารณ์วงการฮอลลีวูดว่า นักแสดงชายสามารถวิจารณ์อะไรก็ได้โดยไม่ได้รับผลกระทบ แตกต่างจากนักแสดงหญิงที่หากไม่คิดให้ดูก่อนการวิจารณ์อะไรชีวิตการแสดงของเธอสามารถจบลงได้เลย
หรือในช่วงสงครามอิสราเอล-ฮามาส เธอออกมาสนับสนุนชาวปาเลสไตน์อย่างชัดเจน แน่นอนว่าการสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งไม่เป็นเรื่องที่ผิด แต่เรื่องที่ต้องยอมรับคือเมื่อคุณแสดงออกว่ายืนอยู่ข้างฝ่ายใด พวกคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่สนับสนุนคุณอีกต่อไป
ขอโปรดจำไว้เสมอว่า ปาเลสไตน์ต้องเป็นอิสระ : เรเชล เซกเลอร์ โพสต์บนแพลตฟอร์ม X
ด้วยความ Woke ของเธอนี้เองที่ไม่ถูกใจหลายๆฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับของดิสนีย์เองหรือผู้ชมภาพยนต์ทั่วไป ที่ภาพลักษณ์ของคนที่จะมารับบทเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ ตรงกันข้ามกับตัวละครที่พวกเขาโปรดปรานเสียเหลือเกิน
🏰 ปรับเปลี่ยนจนไม่เหมือนเดิม 💫
7. นอกจากปัญหาของผู้รับบทสโนว์ไวท์แล้ว ดิสนีย์ได้มีการเปิดเผยภาพแรกจากกองถ่าย สโนว์ไวท์ ที่มีภาพกลุ่มที่มีความหลากหลายทั้ง 7 ที่เชื่อกันว่ามาแทนที่คนแคระทั้ง 7 ทำให้ชาวเน็ตยิ่งเดือดดาลขึ้นมากกว่าเดิม เพราะนี่มันไม่ใช่สโนว์ไวท์ ที่เรารู้จักสักนิดเดียวเลย และกลุ่มที่มีความหลากหลายทั้ง 7 จะ “Woke” เกินไปไหม
8. ดิสนีย์ยิ่งตอกย้ำความหลากหลาย ที่ชาวโซเชียลมีเดียเรียกว่า “Woke” มากขึ้นไปอีกเพราะภาพยนตร์เรื่อง เดอะ ลิตเติ้ล เมอร์เมด เข้าฉายพอดีในช่วงเวลานั้น ซึ่งเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเจ้าหญิงแอเรียลจากเงือกสาวผมแดง ถูกแทนที่ด้วยนักแสดงผิวดำถักผมเดดล็อคแทน และเมื่อคำวิจารณ์ออกมาในเชิงลบ เรเชล เลือกที่จะออกมาปกป้องเพื่อนของเธอ
เธอโพสต์ว่าหากคุณไม่สนับสนุน ฮัลลี่ เบอร์รี่ ในบทแอเรียล คุณก็ไม่ใช่คนที่สนับสนุนฉันในบทสโนไวท์เช่นกัน
ตอนนี้มันไม่ใช่ปี 1937 แล้ว เราเขียน Snow White ที่จะไม่ต้องรอให้เจ้าชายมาช่วยอีกต่อไป การโพสต์เช่นนี้ได้แสดงทัศนะของเธอย่างชัดเจนแล้วว่า เธอไม่ได้เคารพต้นฉบับของแอนิเมชันเรื่องนี้เลยกลับมองว่าแอนิเมชันต้นฉบับมีความคิดแบบ “ล้าหลัง” ด้วยซ้ำไป
แล้วทำไมเธอถึงมองเช่นนั้นล่ะ…
🏰 ค่านิยมแบบอนุรักษ์นิยม 🌎
9. ต้องย้อนกลับไปเมื่อคุณวอลต์ ดิสนีย์ ยังเป็นผู้สร้างสรรค์เรื่องราวของเจ้าหญิงดิสนีย์ออกมาให้เราได้รับชม เขาได้วางแผนไว้ให้แอนิเมชันเรื่องราวสำหรับกลุ่มเด็กและครอบครัว
สโนว์ไวท์ ต่อด้วย ซินเดอเรลล่า และ ออโรร่า พวกเธอต่างเป็นเจ้าหญิงที่ดิสนีย์แฝงค่านิยมและบริบทของยุคสมัยนั้นไว้ทั้งสิ้น ทั้งในแง่ของส่งเสริมค่านิยมดั้งเดิมของครอบครัวและสังคมอเมริกัน
เช่น บทบาทของเพศหญิงในฐานะหญิงสาวที่อ่อนโยน มีความเป็นแม่ศรีเรือน หรือเมื่อยามลำบาก พวกเธอต้องการใครสักคนที่เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเหลือพวกเธอ
อย่างไรก็ตามการตีความเหล่านี้ขึ้นอยู่กับมุมมองทางประวัติศาสตร์และบริบทของยุคนั้น พวกเขาอาจมองว่าการเล่าเรื่องในลักษณะนี้เป็นเรื่องปกติไม่รู้สึกถูกดูแคลนแต่อย่างใดก็เป็นได้
10. ตัวอย่างการล้อเลียนขนบเจ้าหญิงดิสนีย์ชั้นดีเลยก็คือ ตัวละครเจ้าหญิงคลาร่าจากแอนิเมชันสำหรับผู้ใหญ่เรื่อง Drawn Together ที่ได้หยิบยกต้นแบบมาจากเจ้าหญิงดิสนีย์เพื่อล้อเลียน เช่น ความไร้เดียงสา และชอบร้องเพลง
แต่เธอมีกลับมีแนวคิดแบบอนุรักษนิยม์ เช่น มีทัศนคติเหยียดเชื้อชาติ ต่อต้าน LGBTQ+ และไม่ยอมรับความแตกต่างของผู้อื่น เพื่อเป็นการเสียดสีว่า ผู้เขียนบทเจ้าหญิงดิสนีย์ต้องเป็นพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งอย่างแน่นอน
🏰 ดิสนีย์เริ่มปรับสู่ความหลากหลาย 💌
11. อย่างไรก็ตาม หลังปี 1990 เป็นต้นมา ดิสนีย์ได้เปลี่ยนแนวทางให้มีความเสรีนิยมมากขึ้น เมื่อพวกเขามีผู้บริหารคนใหม่ และต้องการสร้างแอนิเมชันที่สอดคล้องกับค่านิยมในสมัยนั้นที่ผู้หญิงมีความเท่าเทียมกับผู้ชาย ทั้งโพคาฮอนตัส มู่หลาน และเจ้าหญิงเบลล์ในโฉมงามกับเจ้าชายอสูร พวกเธอไม่ใช่เจ้าหญิงที่ต้องรอเจ้าชายมาช่วยอยู่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป
12. นับตั้งแต่นั้นดิสนีย์ได้พยายามปรับแนวทางของตนเองอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและการแข่งขันที่รุนแรง โดยเลือกในแนวคิดเสรีนิยมที่พวกเขามองว่าสอดคล้องกับการเติบโตของตลาดในอนาคต ทำให้เมื่อกระแสเปิดรับความหลากหลาย หรือที่ผู้คนในตอนนี้เรียกว่า “”Woke” ในหมู่อเมริกันชนเกิดขึ้น ดิสนีย์ย่อมไม่พลาดที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางของตนเองอีกครั้งหนึ่ง
13. เพียงแต่เมื่อกระแสนั้นตีกลับความ “Woke” ถูกผู้คนมองว่าเป็นแนวคิดที่ยัดเยียดและผลักให้ฝ่ายของพวกเขาเป็นพวกอนุรักษ์นิยม พวกเขาจึงเลือกไม่สนับสนุนผลงานใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกว่ายัดเยียดความหลากหลายให้พวกเขาอีกต่อไป..
🏰ได้รับเสียงตอบรับในแง่ลบอย่างล้นหลาม 🏰
14. เมื่อภาพยนตร์เรื่องสโนว์ไวท์ออกฉายในรอบสื่อมวลชน ดิสนีย์ได้ควบคุมสถานการณ์โดยไม่ให้สื่อทั่วไปสัมภาษณ์ในงาน เพื่อป้องกันคำถามที่อาจจุดชนวนความขัดแย้งเพิ่มเติมได้ ซึ่งแปลว่าพวกเขาทราบดีถึงกระแสความไม่พอใจแต่ก็ถอยหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว
เมื่อสื่อต่างได้รับชมภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ เสียงวิจารณ์ที่มาในช่วงแรกออกมาในแง่ครึ่งๆ กลางๆ ทั้งดีและไม่ดีมากๆ แต่เมื่อภาพยนตร์เปิดให้ผู้ชมทั่วไปสามารถรับชมได้ ความหายนะได้พุ่งตัวออกมาในทันที
คำวิจารณ์ในแง่ลบออกมาในเรื่องของตัวบทที่น่าสับสน ไปไม่สุดในหลายด้าน อาจเนื่องด้วยกระแสแง่ลบก่อนหน้านี้ของภาพยนตร์ทำให้การพัฒนาบท ถูกปรับเปลี่ยนเสียจนไร้ซึ่งความเพลิดเพลิน ทั้งแฝงความหลากหลายเสียจนคนดูหลายคนต่างบ่นด่ากันว่าเยอะเสียจนน่ารำคาญ
15. ทั้งการปรับเปลี่ยนบทบาทจากเจ้าชายขี่ม้าขาว กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มโจร ที่ไม่บอกว่าสโนว์ไวท์คงคิดว่าเป็นเรื่อง ราพันเซล ที่มีตัวเอกเป็นโจรเช่นเดียวกัน
16. หรือแม้กระทั่งกลุ่มความหลากหลายทั้ง 7 ที่ได้รับเสียงกระแสแง่ลบก่อนภาพยนตร์ออกฉาย ในภาพยนตร์ที่ออกฉายก็ยังได้รับการใส่เข้ามา แต่พวกเขามาในบทบาทของโจรทั้ง 7 และยังมีคนแคระทั้ง 7 ในรูปแบบของ CGI โผล่มาในเรื่องด้วย กลายเป็นการตีความเนื้อเรื่องที่ชวนสับสน เพราะในภาพยนตร์เรื่องนี้ บทบาทกลุ่มตัวละคร 2 กลุ่มที่ซ้ำซ้อนกัน
เรเชล เองแม้ได้รับคำชมในแง่การแสดงและเสียงร้องของเธอ แต่การที่เธอออกมาตอบโต้ชาวเน็ตอย่างดุเดือดก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าผู้ชมที่มุ่งมั่นเข้าไปดูสโนไวท์ที่เธอแสดงนั้นลดลงไปพอสมควร
17. ความผิดเพี้ยนยังคงผสมด้วยความลังเล เพราะชุดของตัวละครสโนว์ไวท์ยังคงรูปแบบดั้งเดิมของตัวละคร ที่มีสีสันอันฉูดฉาดเตะตาไว้ แม้จะไม่เข้ากับบุคลิคของเรเชลเลยหรือแม้กระทั่งสโนว์ไวท์ในฉบับนี้เลยก็ตาม เพราะเธอเป็นสโนว์ไวท์ที่มีความแข็งแกร่งอยู่ภายใน ไม่ใช่หญิงที่จะมารอให้แม่มดหลอกวางยาพิษในแอปเปิ้ลได้ แต่แน่นอนเธอก็ต้องกินแอปเปิ้ลอาบยาพิษอยู่ดีน่ะแหละ ถึงจะปรับเปลี่ยนบทไปแค่ไหนก็ตาม
18. ปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมด ไปที่มาให้รายได้เปิดตัวของสโนว์ไวท์ฉบับคนแสดงมีเพียง 87.3 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก จากทุนชสร้างมากกว่า 270 ล้านดอลลาร์ เท่ากับดิสนีย์กำลังขาดทุนจากภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างหนัก รวมทั้งคะแนนในเว็บ IMDB ที่ได้คะแนนไม่ถึง 2 เต็ม 10 คะแนนด้วยซ้ำไป
และไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ดิสนีย์เลือกให้คุณค่ากับค่านิยมความหลากหลาย มากกว่ากำไรที่พวกเขาควรจะได้รับจากเรื่องราวอันล้ำค่าที่พวกเขาเป็นผู้ถือลิขสิทธื์มันอยู่
🏰สิ่งที่ผู้ชมต้องการ ⭐
19. หากให้วิพากษ์แทนผู้เสพสื่อภาพยนตร์ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีเจตนาที่ต่อต้านนักแสดงที่ไม่ใช่คนผิวขาวแต่อย่างใด เพียงแต่พวกเขาไม่ต้องการให้ยัดเยียดค่านิยมหรือใส่ความหลากหลายอะไรก็ตามที่ไม่จำเป็นเลยในเรื่องราวที่พวกเขาชื่นชอบ
20. ตัวละครที่อยากยกตัวอย่าง คือ ไมล์ โมราเลส สไปเดอร์แมนผิวดำที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้คนทั่วโลก และไปปรากฎในแอนิเมชันและเกมของโซนี เพราะเขาเป็นตัวละครที่มีเอกลักษ์และเป็นสไปเดอร์คนละคนกับปีเตอร์ ปาร์กเกอร์
21. หรือภาพยนตร์เรื่อง บาร์บี้ ที่มีเนื้อหาสื่ออย่างชัดเจนว่าเข้ากับนิยาม Woke แต่พวกเขาได้รังสรรค์ภาพยนตร์ได้ออกมาอย่างชัดเจน ว่าต้องการขับเคลื่อนประเด็นเหล่านี้อย่างไม่ปิดบังและไม่ได้ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเขากำลังถูกยัดเยียดค่านิยมต่างๆ แต่เป็นการตระหนักถึงปัญหาที่ภาพยนตร์ต้องการจะสื่อสารแทน จนทำให้ทั้งกระแสตอบรับและรายได้ของภาพยนตร์ออกมาในเชิงบวก
22. สรุปได้ว่าผู้ชม ไม่ได้ต้องการความดั้งเดิมแบบไม่ปรับเปลี่ยนสิ่งใดเลย เพียงแต่ต้องการให้เคารพในสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ เคารพในเนื้อหาที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ยัดเยียดความค่านิยมลงในสื่อที่พวกเขาชื่นชอบเท่านั้นเอง..
#TWCSummary #TWCNews #TWC_Salmon
อ้างอิง:
npr(ดอท)org/2023/08/18/1194702228/rachel-zegler-snow-white-disney-remake
bangkokbiznews(ดอท)com/world/1172496
slate(ดอท)com/culture/2023/08/rachel-zegler-snow-white-
live-action-movie-disney-controversy(ดอท)html
theguardian(ดอท)com/film/2025/mar/21/snow-white-disney-controversy
0 Comment