ในการเล่าเรื่องประสบการณ์การเที่ยวเกาหลีเหนือนั้น ผมอยากเริ่มด้วยสิ่งที่น่าสนใจที่สุดก่อน โดยขอยกเอาคำให้การของนักท่องเที่ยวหลายคนที่เคยเข้าประเทศนี้มา
“ที่เกาหลีเหนือจะมีหลายสิ่งที่ดูแปลกประหลาด คุณไม่รู้ว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความเท็จ และเมื่อเขาบอกคุณอย่างหนึ่ง คุณต้องคิดเอาเองว่าเรื่องจริงคืออะไร”
…เคยมีนักท่องเที่ยวฝรั่งคนนึงเห็นโบสถ์ในเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นเรื่องประหลาด เพราะที่นี่ไม่ต้อนรับศาสนาขนาดที่ห้ามเอาคัมภีร์ศาสนาใดๆ ก็ตามเข้าประเทศ
ฝรั่งคนนั้นจึงบอกไกด์ว่าอยากเยี่ยมโบสถ์ ไกด์ทำท่าวุ่นวายใจอยู่พักหนึ่ง แต่สองสามชั่วโมงหลังจากนั้นก็พาเขาเข้าโบสถ์
ในโบสถ์นั้นนักท่องเที่ยวฝรั่งได้เห็นชาวคริสต์เกาหลีเหนือจำนวนมากกำลังสวดมนต์อยู่เต็ม แต่เมื่อยืนฟังไปเรื่อยๆ ก็พบว่าสวดมนต์ผิด และทำพิธีผิดหลายอย่าง เขามาคิดเองภายหลังว่าสิ่งที่เจออาจจะไม่ใช่ชาวคริสต์ก็ได้ แต่เป็นภาพที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงว่าเกาหลีเหนือมีเสรีภาพทางศาสนา…
ในช่วงเวลาที่ผมเองเยี่ยมเกาหลีเหนือก็ได้พบเรื่องประหลาดอยู่สองสามอย่าง ซึ่งจนปัจจุบันผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจริงๆ มันคืออะไร
เรื่องแรก ตามโปรแกรมของวันหนึ่งผมควรได้ไปดูกายกรรมเปียงยาง แต่ตอนผมไปเที่ยว โปรแกรมเปลี่ยนอยู่ตลอด เดี๋ยวอันนี้ก็ปิดเดี๋ยวอันนั้นก็เปิด ไกด์มาบอกในวันนั้นว่ากายกรรมไม่มี มีแต่โชว์มายากล หรือออเคสตรา ผมจึงเลือกชมออเคสตรา
พอผมบอกว่าออเคสตราไกด์ก็ทำหน้าเครียด แล้วปลีกไปติดต่ออยู่นาน ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาผมจึงได้ไปดูออเคสตราในโรงที่กว้างใหญ่สวยงามมาก
ออเคสตราวงนั้นเล่นเพลงคลาสสิคหลายเพลง และเล่นได้ยอดเยี่ยมมากถึงชั้นว่าฝีมือดีกว่าวงที่ผมเคยได้ฟังมาหลายวง จนผมว่านี่ระดับโลก คนดูก็เต็มโรง
แต่สิ่งที่น่าแปลกคือคนในโรงนั้นจะแบ่งเป็นสองพวกชัดเจน คือเด็กนักเรียนกับคนแก่ คนแก่ที่เห็นเป็นพวกอากงอาม่าบ้านๆ ดูไม่น่าจะมาดูอะไรแบบนี้ พอดนตรีเล่นเสร็จก็ลุกขึ้นมาท่าทางล่องลอยเหมือนงงๆ
ตอนที่ผมเข้าไปนั้นมีที่ว่างที่เขาเตรียมอยู่ไม่พอกับปริมาณคนของทัวร์ผม ก็ปรากฏว่ามีผู้ชายจากด้านหลังเดินมาดึงแขนผู้ชมที่นั่งอยู่ก่อนลากออกไปสองคน เพื่อให้พวกนักท่องเที่ยวกรุ๊ปผมนั่งได้พอ
…คนที่นั่งข้างๆ พวกผมนั้นแสดงอาการกลัวมากจนตัวสั่น ไม่แม้แต่กล้าหันมามองทางผม…
ผมมาคิดอีกทีก็ยังงงว่า ออเคสตรานี้ราคาไม่ถูก อากงอาม่าที่ไหนจะจ่ายเงินมาดู ที่นั่งที่เป็นชั้น VIP นั้นเขาก็ให้เด็กนั่ง เด็กก็นั่งหลับ
อีกคราวหนึ่งไกด์ถามผมว่าตอนค่ำอยากทำอะไร ผมเลยตอบว่าอยากดูหนัง ไกด์ก็ทำท่าตกใจ แต่พอไปติดต่อก็บอกว่ามีรอบหนังตอนสองทุ่มอยู่
ปรากฏว่าพอไปถึงโรงจริงๆ กลับไม่มีคนดูในโรงแม้แต่คนเดียว โรงหนังทั้งโรงเป็นของพวกผมอย่างแท้จริง!
หน้าโรงนั้นมีเครื่องทำป๊อบคอร์นซึ่งไม่มีป๊อบคอร์นอยู่ข้างใน แต่มีป๊อบคอร์นใส่กล่องอย่างดีมาวางเรียงๆ ขายผม
…พอมาคิดๆ ดูทีหลังก็เลยสงสัยว่าถ้าหนังมันมีรอบจริง มันจะร้างขนาดนี้ได้ยังไง หรือมันดึกแล้วก็เลยเกณฑ์คนมาให้เต็มโรงยาก? ประกอบกับช่วงที่ผมไปเป็นช่วงเทศกาล Mass Games ซึ่งน่าจะทำให้เขายุ่ง เพราะระบบไม่ได้เตรียมมาสำหรับรับนักท่องเที่ยวหลายกรุ๊ปขนาดนี้ด้วย
นี่ยังไม่นับเรื่องที่น่าแปลกใจอีกหลายอย่าง เช่นเปียงยางเป็นเมืองที่ไม่ว่าจะไปจุดไหน ก็เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างใหญ่โตอลังการ และสวยงาม แต่ผู้คนเดินไปมานั้นน้อยนัก ฟุตบาทของที่ๆ ผมไปเที่ยวนั้นส่วนใหญ่จะกว้างมาก แต่ไม่มีขยะ และแทบไม่มีถังขยะเลย… จนกรุ๊ปของผมคุยกันเองว่าที่นี่ไม่เหมือนเมือง แต่เหมือนสตูดิโอหนังขนาดใหญ่
ต้องกล่าวว่าถ้าทั้งหมดนี้คือการสร้างภาพให้นักท่องเที่ยวเห็นว่าเกาหลีเหนือเป็นประเทศที่ดี ขอบเขตและทรัพยากรที่พวกเขาใช้สร้างภาพนั้นมันช่างมหาศาลจนเหลือเชื่อ
…และถ้าอากงอาม่า และเด็กนักเรียน คือคนที่ถูกเรียกมาให้นักท่องเที่ยวเห็นว่าโรงแน่น มันแปลว่าสิทธิมนุษยชนของประเทศนี้มันแทบไม่มีเลย…
สิ่งเหล่านี้คือ “ความหลอน…” ที่ทำให้รู้สึกเกร็ง และกลัวตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น
0 Comment