“การก่อการร้าย” เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวพวกเรากว่าที่คิด หลายครั้งมันไม่เลือกเหยื่อ ไม่เลือกวิธีการ ขอเพียงสร้างความเสียหายและฝังความหวาดกลัวเข้าไปในจิตใจคนให้มากที่สุด ผู้ลงมือก็พร้อมทำ

“การก่อการร้ายแบบพลีชีพ” หรือ suicide attack เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในวิธีก่อการร้ายที่รุนแรงที่สุด จากความแนบเนียนและตรวจสอบยากของมัน คนร้ายที่ใช้วิธีนี้มักไม่ต้องมีทุนหนา ไม่ต้องเตรียมทางหนีทีไล่ เพราะเมื่อแลกชีวิตแล้ว ทุกอย่างล้วนไม่จำเป็น

…นี่ทำให้แม้การก่อการร้ายชนิดนี้นับเป็นแค่ 4% จากเหตุวินาศกรรมทั้งหมด แต่ยอดเหยื่อผู้เสียชีวิตจากระเบิดฆ่าตัวตาย กลับมีมากถึง 32% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของความเสียหายจากเหตุวินาศกรรม (บันทึกสถิติปี 1981 – 2006)

อะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งยอมละทิ้งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของตนเอง? เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาแล้วบ้าง? มันมีโอกาสเกิดขึ้นในไทยหรือไม่? แล้วควรต้องป้องกันตัวอย่างไร? มาหาคำตอบไปด้วยกันในบทความนี้ครับ…

ก่อการร้ายไปทำไม?

เป้าหมายของการก่อการร้าย ปรากฏอยู่ในคำเรียกภาษาอังกฤษ ได้แก่ Terrorism หรือ “การสร้างความกลัว” โดยผู้ทำต้องการให้คนรู้สึกหวาดหวั่นไม่ปลอดภัย

ส่วนเหตุผลของการกระทำนั้น มีตั้งแต่ความพยายามแบ่งแยกดินแดนอย่างที่เกิดขึ้นในไอร์แลนด์, ความพยายามต่อสู้การกดทับทางเชื้อชาติจากอำนาจรัฐ เช่น กรณีของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม, รวมถึงการต่อสู้เพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ของกลุ่ม ISIS

หัวใจหลักของปฏิบัติการรูปแบบดังกล่าวคือการสร้างความหวาดกลัวในคนหมู่มาก, ดึงประเด็นของสังคมมาให้โฟกัสกับเรื่องที่กลุ่มก่อการร้ายอยากสื่อ, แบ่งแยกคนในสังคมออกจากกัน บังคับให้คนที่เป็นกลางต้องเลือกข้าง

…ซึ่งวิธีก่อการร้ายที่มีประสิทธิภาพยิ่ง คือการก่อการร้ายแบบพลีชีพนี่เอง

จุดเริ่มต้นการก่อการร้ายพลีชีพ

เหตุก่อการร้ายแบบพลีชีพนี้มีมานานแล้วในประวัติศาสตร์ แต่เหตุอันน่าสะพรึงและถูกกล่าวขานว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสการโจมตีแบบพลีชีพในยุคสมัยใหม่ คือเหตุสังหาร “ราจีฟ คานธี” อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย ขณะกำลังหาเสียงในรัฐทมิฬนาดู ประเทศอินเดีย ในวันที่ 21 พฤษภาคม 1991

ขณะที่ราจีฟกำลังเดินไปทักทายมวลชนอยู่นั้น เด็กสาวคนหนึ่งนามว่าดนุ ก็เดินเข้ามาและทำทีจะแตะเท้าของราจีฟ (ในประเพณีอินเดีย การสวมพวงมาลัยและแตะเท้าถือเป็นการอวยพร) ก่อนจะจุดชนวนระเบิดที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อ ซึ่งคร่าชีวิตทั้งตัวดนุ, นายราจีฟ, และคนรอบข้างอีก 14 รายในชั่วพริบตา

ความเสียหายนั้นทำให้อินเดียตัดสินใจ “เลิกแทรกแซง” สงครามกลางเมืองศรีลังกา กลุ่มก่อการร้ายพยัคฆ์ทมิฬที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้จึงบรรลุเป้าหมายโดยง่าย

ผู้นำกลุ่มอย่าง ประภาการัน เล็งเห็นว่าวิธีการดังกล่าว ใช้ทรัพยากรน้อยแต่สร้างความเสียหายมหาศาล และสามารถข่มขวัญศัตรูได้เป็นอย่างดี จึงตั้งให้ปฏิบัติการพลีชีพกลายเป็นหนึ่งในยุทธวิธีหลักของฝ่ายพยัคฆ์ทมิฬเรื่อยมา

หน่วยเสือดำ

หน่วยเสือดำหรือ Black Tiger เป็นหน่วยที่มีเชื่อเสียงฉาวโฉ่ของกบฏพยัคฆ์ทมิฬ เพราะพวกเขาเป็นหน่วยคอมมานโดที่ฝึกฝนตนเองมาปฏิบัติภารกิจฆ่าตัวตายโดยเฉพาะ

ใครต้องการสมัครเป็นหน่วยเสือดำ จะต้อง “เขียนเรียงความ” ส่งไปหาประภาการันเพื่อแสดงความสามารถ, ศักยภาพ, และทัศนคติของผู้เขียน

ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการฝึกต่างๆ ตั้งแต่การปลอมตัว การแทรกซึม การใช้อาวุธทุกชนิดรวมถึงอาวุธไม้ตายอย่าง “เข็มขัดระเบิด”

เหตุ 9/11

เมื่อพูดถึงการก่อการร้ายพลีชีพที่โด่งดังและสะเทือนขวัญชาวโลกมากที่สุดก็ไม่พ้น “เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน” หรือ 9/11

ในช่วงเช้าของวันอังคารที่ 11 กันยายน 2001 ผู้ก่อการร้ายจำนวน 19 ราย จี้เครื่องบินของยูไนเต็ดแอร์ไลน์และอเมริกันแอร์ไลน์รวม 4 เครื่อง ก่อนจะบังคับเครื่องบินสองลำชนเข้ากับตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

เครื่องบินอีกลำได้ชนที่ตั้งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือตึกเพนตากอน ขณะเครื่องบินลำสุดท้ายร่วงลงก่อนจะเดินทางถึงเป้าหมายที่คาดว่าถ้าไม่ใช่อาคารรัฐสภา (Capitol Building) ก็เป็นทำเนียบขาว

…เหตุการณ์ดังกล่าวคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์กว่า 2,977 ราย ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง และเปลี่ยนโลกสู่ยุคของ “สงครามต่อต้ายการก่อการร้าย”…

เหตุระเบิดที่เกาะบาหลี

หลังเหตุการณ์ 9/11 ทั่วโลกต้องเผชิญหน้ากับสงครามต่อต้านการก่อการร้าย (Global War on Terror) ซึ่งหนึ่งในเหตุระเบิดพลีชีพครั้งสำคัญ เกิดขึ้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2002 ในเกาะบาหลี

ผู้ก่อการร้ายเป็นสมาชิกกลุ่มเจมาห์ อิสลามิยะห์ จำนวนสองคน โดยคนหนึ่งลักลอบนำระเบิดเข้ามาในย่านสถานบันเทิงยามราตรีในเขตคูตา ก่อนจะจุดระเบิดที่ซุกซ่อนไว้ที่บาร์แห่งหนึ่ง ส่วนมือระเบิดอีกรายใช้รถบรรทุกระเบิด ซึ่งจอดปะปนกับรถปกติในเขตชุมชนเป็นอาวุธสังหาร

เหตุนี้ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนท้องถิ่นเสียชีวิตรวมกันถึง 202 ราย บาดเจ็บอีก 209 ราย

รถบรรทุกระเบิดพลีชีพ

ช่วงกลุ่ม ISIS เรืองอำนาจนั้นมีการใช้ “รถบรรทุกระเบิดพลีชีพ” หรือที่เรียกว่า SVBIED (Suicide Vehicle-Borne Improvised Explosive Device) อย่างแพร่หลาย

อาวุธนี้คือการเอาระเบิดจำนวนมากใส่รถ ให้ขับไประเบิดตัวตายกับศัตรู มันมีอานุภาพรุนแรง ป้องกันยาก จัดเป็นสุดยอดอาวุธอย่างหนึ่ง

พวก ISIS มักให้เด็กซึ่งจัดเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่าไม่มาก แต่ล้างสมองง่าย เป็นคนขับรถ

ยกตัวอย่างกรณีของเด็กชายวัย 11 ขวบคนหนึ่ง ซึ่ง ISIS ได้บันทึกวิดีโอและสัมภาษณ์เด็กที่จะส่งไปตายไว้อย่างละเอียดเพื่อส่งวีดีโอไปปลุกใจคนอื่นๆ ต่อ บอกว่าขนาดเด็กอายุแค่นี้ยังเสียสละเลย

ในสัมภาษณ์นั้น เด็กชายได้นั่งอยู่กับพ่อ โดยพ่อเล่ารายละเอียดภารกิจ พร้อมสอนลูกว่า ให้พลีชีพเพื่ออุดมการณ์ ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ เด็กจึงกอดและจูบลาพ่อครั้งสุดท้าย ก่อนจะขับรถจากไป จากนั้นก็เกิดระเบิดขึ้น…

…วิดีโอดังกล่าวของไอซิส จบลงด้วยคลิปสรรญเสริญวีรกรรมของเด็กชายพร้อมเพลงประกอบ…

เหตุโจมตีสนามบินฮามิด คาร์ไซ

เหตุระเบิดพลีชีพล่าสุดที่ได้รับความสนใจ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา มือระเบิดพลีชีพจากกลุ่มไอซิสสาขาอัฟกานิสถาน (ISIS-K) จำนวนสองรายโจมตีด่านคัดกรองผู้อพยพออกจากอัฟกานิสถาน ณ ท่าอากาศยานนานาชิตฮามิด คาร์ไซ กรุงคาบูล ก่อนสมาชิกอื่นจะมีการเปิดฉากยิงใส่ยิงผู้บริสุทธิ์ที่ตื่นตระหนก

เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ประชาชนกว่า 172 ราย และทหารสหรัฐอีก 13 นายเสียชีวิตจากการโจมตีเพียงชั่วพริบตา

ความเป็นไปได้ในไทย

ต้องยอมรับว่า แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กลายเป็นเป้าหมายใหม่ของผู้ก่อการร้ายมาระยะหนึ่งแล้ว

ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 กันยายน กระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้ส่งอีเมลแจ้งเตือนผ่านมายังสถานทูตญี่ปุ่นในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ รวมทั้งไทย ให้ระวังภัย”ก่อการร้าย” โดยเฉพาะ “มือระเบิดพลีชีพ” ซึ่งอาจก่อเหตุในพื้นที่ชุมชน, สถานที่ท่องเที่ยว รวมไปถึงแหล่งเศรษฐกิจต่างๆ ฯลฯ

กรณีการเตือนนี้แตกต่างจากสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบที่ชาติสมาชิกอาเซียนเผชิญร่วมกันอยู่แล้ว เพราะมันอาจเป็นการโจมตีพื้นที่ปลอดภัย (หรือ “พื้นที่สีเขียว”)

นี่จึงถือเป็นภัยครั้งใหม่ที่ทุกชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรต้องเตรียมรับมือให้ทันท่วงที

แม้ในเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ ซึ่งสถานทูตญี่ปุ่นได้ระบุไว้ในเมล จะยังไม่เคยประสบเหตุระเบิดพลีชีพมาก่อน แต่ก็เคยถูกก่อการร้ายใหญ่ด้วย “การวางระเบิด” มาแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น คดีระเบิดที่แยกราชประสงค์ ในปี 2015 (2558)

เหตุระเบิดที่ราชประสงค์

วันที่ 17 สิงหาคม 2015 เวลา 18:55 น. เกิดเหตุวางระเบิดขึ้นใกล้กับศาลท้าวมหาพรหม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย และบาดเจ็บอีกนับร้อย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งหน่วยเก็บกู้ระเบิดเข้าไปตรวจสอบ วิเคราะห์ออกมาว่าเป็นระเบิดทีเอ็นทีหนัก 3 กิโลกรัมอยู่ในท่อบริเวณศาลท้าวมหาพรหม มีรัศมีทำลายล้างประมาณ 100 เมตร และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าบุคคลต้องสงสัยน่าจะมีเชื้อแขก

ตำรวจสามารถจำผู้ต้องหาคนแรกเป็นชายสัญชาติตุรกีได้ในวันที่ 29 สิงหาคมปีเดียวกัน ก่อนขยายผลจับผู้ต้องหาได้อีกจำนวนหนึ่ง และพบว่าผู้ต้องหาเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำชาวมุสลิมอุยกูร์เข้าไทย ก่อนส่งต่อไปยังประเทศอื่นๆ

…ตอนนี้คดีอยู่ในการพิจารณาของศาลยุติธรรม หลังขึ้นศาลทหารมาแล้ว…

แม้จะไม่ใช่เหตุระเบิดพลีชีพ แต่ภัยก่อการร้ายไม่ใช่สิ่งไกลตัวเราอีกต่อไป

ชาวไทยเช่นผมและผู้อ่าน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และพลุกพล่านอย่างกรุงเทพฯ ควรต้องระวังตัวและช่วยกันสอดส่องความน่าสงสัย ซึ่งจะมีวิธีปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของศูนย์ประสานข่าวกรองแห่งชาติดังต่อไปนี้นะครับ..

วิธีป้องกันการก่อการร้าย

เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการช่วยหยุดยังการก่อการร้ายได้ ด้วยการสังเกตบุคคลที่น่าสงสัย รวมไปถึงสิ่งผิดปกติรอบตัว เช่น พัสดุหรือกระเป๋าที่วางทิ้งไว้ในที่สาธารณะโดยไม่มีเจ้าของ หรือคนที่มีอาการลับๆ ล่อๆ ปกปิดใบหน้าเกินความจำเป็น ซึ่งมักอยู่ไม่ไกลจากจุดเตรียมเกิดเหตุ (เพราะระเบิดแสวงเครื่องบางอย่างยังต้องส่งสัญญาณจากระยะใกล้)

หากพบเห็นอะไรเช่นนี้ ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่รักษากฏหมายเข้ามาตรวจสอบทันที

อาชีพที่ควรตื่นตัวเป็นพิเศษ ได้แก่ ผู้ประกอบธุรกิจผู้อยู่อาศัย, พนักงานทำความสะอาด, รปภ. และผู้ให้เช่าพาหนะ ซึ่งพบปะคนใช้บริการมากหน้าหลายตา และมีสิทธิพบวัตถุต้องสงสัยได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

รวมไปถึงพนักงานร้านอาหารเองก็ต้องคอยระวังไว้เช่นกัน เพราะบ่อยครั้งที่ร้านอาหารตกเป็นเป้าหมายของผู้ก่อการร้าย

ส่วนใหญ่การก่อการร้ายในไทยก็ไม่พ้นเหตุระเบิด ที่มักประกอบขึ้นมาง่ายๆ จากโทรศัพท์มือถือ และสารเคมีต่างๆ ที่เป็นตัวตั้งต้น

นอกจากนี้ยังมีการใช้รถเพื่อซ่อนวัตถุระเบิด, แก๊ส, สารเคมี, วัตถุไวไฟก่อนนำมาบรรทุกระเบิดแล้วจอดไว้ยังบริเวณเป้าหมาย ซึ่งหากพบรถยนต์ต้องสงสัย ควรโทรแจ้งสายด่วนต่างๆ เช่น แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย เบอร์ 191, กองปราบปราม เบอร์ 1195 เป็นต้น

ควรทำอย่างไรเมื่อมีเหตุก่อการร้าย?

หากเราตกอยู่ในสถานการณ์ก่อการร้ายจากการวางระเบิดหรือระเบิดพลีชีพ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ

1) ตั้งสติ และรีบหนีออกจากพื้นที่เกิดเหตุตามวิธีที่เจ้าหน้าที่แนะนำ
2) อย่าหนีเข้าไปในฝูงชน เพราะอาจเกิดเหตุระเบิดซ้ำสอง
3) อย่าหนีไปตรงที่รถมาก เพราะอาจเป็นรถที่เตรียมจุดระเบิดต่อเช่นกัน
4) หากอยู่ในอาคาร ให้พยายามออกไป เพราะแรงระเบิดและไฟที่เกิดขึ้นอาจเกิดความเสียหายทางโครงสร้างที่จะทำให้ตึกถล่มลงมาได้

ทั้งนี้หากพบผู้บาดเจ็บต้องประเมินตนก่อนว่ามีความรู้ความสามารถช่วยได้หรือไม่ อย่าพยายามเข้าไปช่วยด้วยตัวคนเดียวทั้งๆ ที่ไม่ทราบวิธี โดยเฉพาะกับผู้ที่บาดเจ็บหนัก ให้หาคนอื่นมาช่วย หรือรอเจ้าหน้าที่หากเป็นไปได้

ทั้งนี้ถ้าเราเองได้รับบาดเจ็บแต่ไม่มาก เมื่อออกไปได้แล้วก็ควรไปโรงพยาบาลด้วยตนเอง เพื่อลดภาระของผู้เกี่ยวข้องในสภาวะวุ่นวาย

เมื่อออกจากบริเวณก่อการมาได้แล้ว ควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพราะการก่อการร้ายมักไม่ทำเพียงครั้งเดียว

ดังนั้นหากเราทุกคนช่วยเป็นหูเป็นตากัน ก็มีสิทธิสามารถพบหลักฐานที่เชื่อมโยงไปถึงผู้ก่อการร้าย และป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียขึ้นได้

สรุป

ปัจจุบันการก่อการร้ายไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่กลุ่มก่อการร้ายกำลังฮึกเหิม และได้เบนเป้าหมายมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศไทยอาจเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการวินาศกรรมครั้งใหม่ ดังนั้นเราจึงควรเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ ด้วยการหาความรู้ และระวังตัวไว้ตลอดเวลา

…เพราะการก่อการร้าย โดยเฉพาะการใช้ระเบิดพลีชีพนั้น ยังคงเป็นที่นิยมอยู่เพราะใช้ทุนน้อย แต่สร้างความเสียหายได้มหาศาล ส่งผลให้ผู้คนหวาดกลัว ใช้ชีวิตได้อย่างยากลำบาก เพราะไม่รู้จะเกิดขึ้นที่ไหน ตอนไหน กับใคร ในรูปแบบใด