ข่าวบริษัทยักษ์ใหญ่ “เอเวอร์แกรนด์” ล้มละลายเป็นหัวข้อที่ถูกกล่าวถึงกันมากในช่วงวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีน ซึ่งในช่วงนั้นเกิดความตื่นกลัวกันว่าอาจเป็นชนวนวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ไปทั่วโลกเหมือนกับปี 2008 แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันได้ผ่านพ้นไปแล้ว (?)

แม้ดูเหมือนช่วงนี้ข่าวปัญหาเศรษฐกิจของจีนจะซาลงไป ถึงกระนั้นยังมีบทวิเคราะห์ออกมาอยู่เรื่อยๆ ว่าปัญหาเศรษฐกิจจีนยังคงดำเนินต่อไป โดยมีคนออกมาชี้ให้เห็นตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายอย่างที่นำมาสู่การสรุปว่าวิกฤตครั้งนี้อาจใหญ่กว่าที่เห็น เพราะทางการจีนพยายามปกปิดไว้อยู่

โดยการตั้งข้อสังเกตถึงปัญหาอื่นๆ ที่กำลังรุมเร้าเศรษฐกิจจีนอยู่ และอาจเป็นระเบิดเวลาที่จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในเวลานี้หากไม่ได้รับการแก้ไข …สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่บางคนอาจกำลังสงสัยอยู่ว่าจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจเบอร์ 2 ของโลกจริงหรือ?

ในบทความนี้จะรวบรวมปัญหาเศรษฐกิจจีนมาดูกันว่าทั้งหมดดูมีเค้าความจริงมากน้อยเพียงใดกันนะครับ

การที่จะเข้าใจปัญหาเศรษฐกิจจีนทุกวันนี้มันมีที่มาที่ไป ผมขอเริ่มต้นตั้งแต่ยุคหลังสงครามกลางเมืองจีนยุติลงและก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เศรษฐกิจจีนสามารถแบ่งออกได้เป็นสองช่วงอย่างชัดเจน

ช่วงแรกคือยุคที่มีการควบคุมเศรษฐกิจจากส่วนกลางอย่างมากในยุคเหมาเจ๋อตง (ปี 1949-1976) โดยในยุคนี้จะมีการวางแผนเศรษฐกิจ และให้ประชาชนทำงานในลักษณะรวมอำนาจการผลิต แบ่งเป็นนารวม “ป่าไม้รวม” และ “ประมงรวม”

ในยุคนี้จะมีเหตุการณ์เด่นๆ อยู่สองเรื่องคือ “การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า” (Great Leap Forward) ซึ่งเป็นการเร่งรัดพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ ซึ่งนำไปสู่การลดจำนวนเกษตรกรอย่างกะทันหัน (บวกกับแนวคิดที่ผิดอย่างเช่นการกำจัดนกกระจอกที่คอยกำจัดศัตรูพืช) ผลทำให้เกิดภัยอดอยากครั้งใหญ่ ทำคนตายหลายสิบล้าน

อีกเหตุการณ์หนึ่งคือ “การปฏิวัติวัฒนธรรม” และ “แก๊งสี่คน” ซึ่งนอกจากจะเป็นการกวาดล้างคนเห็นต่างโดยอ้างว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงแล้ว ยังมีผลต่อเศรษฐกิจด้วย เพราะมีคนทำงานถูกกวาดล้างไปมากเช่นกัน

…ทั้งสองช่วงเป็นช่วงที่เศรษฐกิจจีนติดลบ แต่ถึงอย่างนั้นในยุคเหมาเศรษฐกิจจีนถือว่าโตเฉลี่ยปีละ 6.2% และธนาคารโลกยังชมว่าช่วยกำจัดความยากจนได้ดี แต่ก็มี “ข้อควรปรับปรุง”

และยุคที่สองคือยุคหลังการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนโดยเติ้งเสี่ยวผิง โดยเขามีแนวทาง 6 ข้อ ได้แก่
1) ยกเลิกนารวม
2) เปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ
3) ให้เอกชนตั้งธุรกิจเองได้ส่วนหนึ่ง
4) โอนกิจการของรัฐและมอบสัมปทานให้เอกชนส่วนหนึ่ง
5) ยกเลิกการควบคุมราคา
6) ยกเลิกกฎระเบียบกีดกันการค้า (ยกเว้นภาคธนาคารและปิโตรเลียม)

ทั้งหมดก็คือการเพิ่มบทบาทของกลไกตลาด และลดการควบคุมจากส่วนกลางนั่นเอง (แต่เศรษฐกิจจีนส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือรัฐวิสาหกิจหรือรัฐเป็นเจ้าของอยู่)

ผลของการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนทำให้จีนเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่ที่เติบโตเร็วที่สุด คือเฉลี่ย 10% ต่อปีเป็นเวลา 30 ปี ในปี 2010 จีนแซงหน้าญี่ปุ่นเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลกตามจำนวนเงิน (nominal) …และคาดว่าในที่สุดจีนก็คงสามารถแซงหน้าสหรัฐเป็นเศรษฐกิจเบอร์ 1 ของโลกได้หากยังคงเติบโตในอัตราเร็วกว่าสหรัฐเช่นนี้ต่อไป

ต่นอกจากขนาดเศรษฐกิจโตแล้ว ยังมีผลกระทบต่อสภาพสังคมจีนด้วย เพราะทำให้คนชนบทเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองมาก โดยตัวเลขอย่างเป็นทางการระบุว่าสัดส่วนคนเมืองเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 1949 มาเป็น 65% ในปี 2022

อีกตัวเลขหนึ่งที่ธนาคารโลกระบุคือจีนมีประชากรเมือง 190 ล้านคนในปี 1980 เพิ่มขึ้นเป็น 590 ล้านคนในปี 2007 หรือเพิ่มขึ้นถึง 400 ล้านคนในเวลาเพียง 27 ปี!

แน่นอนว่าคนที่เข้ามาอยู่ในเมืองใหม่ต้องการที่อยู่อาศัย ดังนั้นจึงมีการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก และได้ทำให้เศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตตามไปด้วย …ปัจจุบันภาคอสังหาริมทรัพย์จีนมีสัดส่วนถึงกว่า 20% ของจีดีพี (หากนับรวมภาคอื่นๆ ที่ได้รับอานิสงส์จากภาคอสังหาด้วย หรือ carry-over effect)

และแผนพัฒนาประเทศของจีนยังกำหนดว่าในอนาคต 5 ปีวางแผนให้มีคนเมืองเพิ่มขึ้นอีกปีละ 10 ล้านคน แปลว่าการก่อสร้างมีแผนดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน

*** ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์จีน ***

การเติบโตขนาดนี้ทำให้ธุรกิจจีนหลายแห่งกู้เงินมาลงทุนเพิ่มเพราะเพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นโมเดลการเติบโตของบริษัทอสังหาจีนยักษ์ใหญ่หลายแห่ง รวมทั้งเอเวอร์แกรนด์ที่มีหนี้สินถึง 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

เช่นเดียวกับประชาชนและนักลงทุนรายย่อยของจีนที่มีลักษณะอย่างหนึ่งคือเน้นการลงทุนเก็งกำไรในอสังหาเพราะทางการเข้มงวดกับตลาดหุ้นและสินทรัพย์อย่างอื่น โดยประมาณว่าทรัพย์สินครัวเรือนจีนกว่า 80% ไปลงกับอสังหาเลยทีเดียว

ราคาอสังหาจีนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนเคยเกิดฟองสบู่มาแล้วในช่วงปี 2005-2011 ซึ่งในช่วงนั้นราคาที่ดินเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า มาถึงยุคสีจิ้นผิง เมื่อปี 2020 ได้มีการออกกฎใหม่เพื่อคุมเพดานหนี้ของบริษัทอสังหาต่างๆ ที่กู้กันเป็นล่ำเป็นสัน

แม้การออกกฎดังกล่าวจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะดี แต่หลายบริษัทก็ปรับตัวกันไม่ทัน อย่างเอเวอร์แกรนด์ก่อนที่จะยื่นล้มละลายก็ได้มีการนำเอาทรัพย์สินมาขายเพื่อพยายามลดหนี้ แต่สุดท้ายก็หมุนเงินไม่ทันในที่สุด ซึ่งบริษัท “คันทรีการ์เดน” ผู้พัฒนาอสังหารายใหญ่สุดของจีน ก็ส่อปัญหาเพราะได้ผิดนัดชำระหนี้ไปแล้วเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา…

*** หนี้สินของธนาคารเงา ***

ปัญหาอสังหายังเกี่ยวโยงกับปัญหาในวงใหญ่กว่า นั่นคือเรื่อง “หนี้สินภาคธนาคารเงา” (shadow banking) ซึ่งเป็นเหมือนการเงินนอกระบบทางการของจีนที่ผ่อนคลายเรื่องการปล่อยกู้และให้ผลตอบแทนสูงกว่าธนาคารของรัฐ

ระบบธนาคารเงาจีนอาจมีมูลค่าสูงถึงระหว่าง 3-12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (แล้วแต่นิยามว่านับรวมผลิตภัณฑ์จัดการทรัพย์สินกับสินเชื่อบุคคลด้วยหรือไม่) และได้ปล่อยกู้ให้กับภาคอสังหาจีนไม่น้อย

และเมื่อเดือน พ.ย. 2023 ที่ผ่านมา จงจื่อเอ็นเตอร์ไพรซ์กรุ๊ป ซึ่งเป็นธนาคารเงายักษ์ใหญ่ของจีนที่มีสินทรัพย์กว่า 130,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ได้ยื่นล้มละลายแล้ว…

*** หนี้สินรัฐบาลท้องถิ่นจีน ***

นอกจากนี้ยังมี “หนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่นจีน” ที่ถูกผูกกับภาคอสังหาด้วยเช่นกัน โดยหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่นจีนมีที่มาจากการกู้ยืมเงินผ่านนิติบุคคลเฉพาะกิจ ที่เรียกว่า “LGFV” เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากเพื่อ “ทำยอด” GDP ให้ถึงเป้าหมาย

แต่การลงทุนหลายอย่างกลับไม่ได้ก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขนาดนั้น ดังนั้นจึงไม่สามารถจัดเก็บภาษีมาชดเชยเงินกู้ได้ นอกจากนี้ยังประสบปัญหาจากรายได้อสังหาลดลงและปัญหาโควิดจึงยิ่งซ้ำเติมหนี้สินเข้าไปอีก โดยตัวเลขหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่นจีนเมื่อเดือน ส.ค. 2023 อยู่ที่ 12.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 76% ของ GDP เข้าไปแล้ว หรือเพิ่มขึ้นกว่า 13% ในเวลาเพียง 3 ปี

ล่าสุดรัฐบาลกลางของจีนได้เข้ามาออกกฎใหม่เพื่อลดการกู้ยืมเงินผ่าน LGFV เป็นที่เรียบร้อยแล้ว…

ขณะนี้มีการประเมินว่ามีอสังหาที่ยังสร้างไม่เสร็จแต่ขายไปล่วงหน้าแล้วกว่า 20 ล้านยูนิต และมีนักวิเคราะห์บางคนมองว่าทางการจีนอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการแก้ไขปัญหาในภาคอสังหา คือในตอนนี้จีนกำลังเผชิญปัญหาสร้างที่อยู่อาศัยเกินความต้องการไปอันมาก และต้องใช้เวลาให้อุปสงค์ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาทัน

บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดีส์ เพิ่งปรับลดความน่าเชื่อถือของภาครัฐจีนจาก “คงที่” กลายเป็น “ลบ” แล้ว เพราะเก็งว่ารัฐบาลจีนจะต้องเข้ามาอุ้มปัญหาดังกล่าวซึ่งจะลดความเข้มแข็งของภาคการเงินการคลังของจีน

*** การว่างงานของเยาวชนสูง ***

นอกจากปัญหาในภาคอสังหาแล้ว จีนยังเผชิญกับความท้าทายในด้านอื่นอีก ไล่มาตั้งแต่ปัญหาการว่างงานของเยาวชนสูง

เพราะในช่วงที่ผ่านมาจีนได้ลงทุนกับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจนสามารถผลิตบัณฑิตออกมาได้เป็นจำนวนมาก แต่ด้วยนโยบายบางอย่างของรัฐบาลบวกกับเศรษฐกิจที่ไม่สามารถรองรับคนที่จบการศึกษาสูงๆ ได้มากพอ จึงกลายเป็นว่ามีบัณฑิตมหาวิทยาลัยตกงาน โดยตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือน มิ.ย. 2023 พบว่ามีเยาวชนอายุ 16-24 ปีว่างงานถึง 21.3% (ก่อนที่ทางการจะหยุดรายงานตัวเลขดังกล่าวไปแล้ว บอกว่าขอกลับไปปรับปรุงวิธีคำนวณก่อน)

สาเหตุที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่น้อยตกงานมาจากมาตรการของรัฐเอง เช่น ผลของการกวาดล้างโรงเรียนกวดวิชา เทคโนโลยีและวิดีโอเกมทำให้คนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจจะลงเรียน (หรือบางคนคือเริ่มเรียนไปแล้ว) ในสาขาที่โดนหางเลข ต้องพบว่างานที่ตัวเองเล็งไว้หายไปเลย

ด้านทางการจีนพยายามแก้ไขปัญหานี้โดยการส่งเสริมให้ธุรกิจต่างๆ รับคนอายุน้อยเข้าทำงานมากขึ้น และรณรงค์ให้บัณฑิตจบใหม่ออกไปทำงานในชนบท แต่นั่นจะยิ่งทำให้ปัญหา “การจ้างงานต่ำระดับ” ยิ่งรุนแรงขึ้น …แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่จีนไม่น้อยไม่พอใจกับแนวทางนี้ของทางการจีน และจนถึงตอนนี้ยังไม่มีมาตรการที่จะเปลี่ยนแนวโน้มของปัญหานี้นอกจากซื้อเวลาไปก่อนเท่านั้น

ทำให้ผู้ใหญ่ช่วงต้นของจีนจำนวนมากเลือกที่จะมาเป็น “เด็กเต็มเวลา” โดยเลิกทำงานข้างนอก และรับเงินพ่อแม่เพื่อมาทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ทำกับข้าว หรือดูแลญาติสูงอายุที่บ้าน ซึ่งหลายคนคิดว่าเลือกทางนี้ดีกว่าออกไปแข่งขันดุเดือดในการสอบเข้าราชการหรือสอบระดับสูงกว่าปริญญาตรี นอกจากนี้บางงานให้เงินน้อยกว่าที่พ่อแม่จ่ายให้อีก

“ในประเทศจีน พ่อแม่ต้องพึ่งพาลูกหลานทางอารมณ์ ส่วนลูกหลานก็ต้องพึ่งพาพ่อแม่ทางด้านการเงิน” ชาวจีนคนหนึ่งให้สัมภาษณ์

*** ปัญหาเงินฝืด ***

ส่วนสองปัญหาสุดท้ายนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน เริ่มจาก “ปัญหาเงินฝืด” หรือปัญหาราคาสินค้าและบริการถูกลง หรือเงินมีค่ามากขึ้น อย่างดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หมวดอาหารลดลง 4.1% ในเดือน พ.ย. 2023 เทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะราคาเนื้อหมูร่วงถึงกว่า 31.8%!

ถึงแม้ฟังดูแล้วเหมือนจะดูดี เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ที่เผชิญกับ “เงินเฟ้อ” กันแทบถ้วนหน้า แต่ปัญหาเงินฝืดของจีนนั้นเกิดสืบเนื่องมาจากปัญหาของภาคอสังหาริมทรัพย์ การไหลออกของทุนต่างชาติ และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาด

เงินฝืดนั้นเป็นปัญหาที่คนไม่ค่อยมั่นใจเอาเงินมาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจห้างร้าน คนตกงานและยิ่งใช้จ่ายน้อยลงไปอีก เป็นวงจรอุบาทว์ที่ต้องแก้ไขด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ดังนั้นในขณะที่ทั่วโลกพยายามลดปัญหาเงินเฟ้อด้วยการดึงเงินออกจากระบบ แต่จีนกลับต้องทำตรงข้ามคือต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ยและทุ่มงบประมาณช่วยเหลืออีก

*** ปัญหาสัดส่วนการบริโภคต่ำ ***

เชื่อว่าอาจมีท่านที่สงสัยว่าจีนที่ดูเป็นประเทศร่ำรวยนั้น เหตุใดจึงประสบปัญหาคนไม่เอาเงินมาจับจ่ายใช้สอยกัน นั่นเป็นเพราะจีนมีปัญหาเศรษฐกิจไม่สมดุลกันมานานแล้ว คือบางส่วนโตมาก แต่บางส่วนไม่ค่อยโตเท่าไหร่

ข้อมูลสถิติพบว่าจีนเป็นประเทศที่มีสัดส่วน GDP จากการบริโภคของครัวเรือนน้อยกว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่นๆ (จีน 38.2% เทียบกับสหรัฐ 68.3% ในปี 2021) หรือตีความได้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนมาจากการขายสินค้าให้กับคนต่างชาติเสียมาก

ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าเมื่อสถานการณ์การค้าโลกเปลี่ยนแปลง (เช่น สงครามการค้าจีน-สหรัฐ) เศรษฐกิจจีนจะได้รับผลกระทบมาก ซึ่งก็คือช่วงนี้นั่นเอง

ปัญหาดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายของทางการจีนที่ควบคุมค่าเงินให้อ่อนอยู่เสมอเพื่อกระตุ้นการส่งออก จึงทำให้ค่าแรงของชาวจีนต่ำลงโดยเปรียบเทียบกับประเทศอื่น นอกจากนี้ยังมีการควบคุมค่าแรงให้ต่ำเพื่อให้สินค้าจีนราคาถูก ผลทำให้ชาวจีนมีรายได้สำหรับจับจ่ายไม่สูงเท่าที่ควร

จริงๆ ทางการจีนก็เล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับสมดุลเศรษฐกิจใหม่เพื่อเพิ่มสัดส่วนการบริโภคมาตั้งแต่ยุคเจียงเจ๋อหมินแล้ว แต่ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องแลกมาด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลงช่วงหนึ่ง บวกกับอิทธิพลของธุรกิจที่ได้ประโยชน์ นั่นจึงทำให้ภาครัฐยังคงไม่ดำเนินการอย่างจริงจังเท่าไหร่ ดูจากแผนการะตุ้นเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาเงินฝืดข้างต้นที่ยังเน้นการลงทุนขนาดใหญ่

หลายปัญหาที่เกิดขึ้นรวมกันทำให้มีการนำเอาเรื่องนี้ไปตีข่าว ซึ่งแทบทั้งหมดก็มีแต่สำนักข่าวตะวันตกเท่านั้น เพราะทางการจีนใช้วิธีปิดข่าวแทน นั่นจึงทำให้เราคงไม่ได้เห็นภาพจริงทั้งหมด มีการคาดเดาไปด้วยหลายส่วน

เศรษฐกิจจีนอาจจะยังไม่ถึงขั้นพินาศไปในเร็ววัน แต่ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าอยู่นี้จะเป็นโจทย์ใหญ่ที่รอพิสูจน์ฝีมือการบริหารของสีจิ้นผิงครับ!

#TWCNews #TWCChina