…ที่นี่คือ “สถาน” ที่มีประวัติศาสตร์อันยอดเยี่ยม ซับซ้อน และยิ่งใหญ่
…ที่นี่คือ “เมืองกรีก” ที่อยู่ไกลที่สุด
ที่นี่คือ “ทาจิกิสถาน” ดินแดนแห่งภูมิภาคเอเชียกลาง ซึ่งหลายคนอาจมองข้ามหรือไม่ได้คุ้นชินกับประเทศนี้มากนัก แต่รู้หรือไม่ว่า? ทาจิกิสถานเป็น “สถาน” ที่ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย วันนี้ The Wild Chronicles จะพาไปทำความรู้จักเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทาจิกิสถานแบบสรุปเข้าใจง่ายกันครับ
ก่อนอื่นต้องเริ่มต้นจากมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่เอเชียกลางอายุกว่า 7 หมื่นปี
แต่กลุ่มแรกที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แถบนี้คือ “ชาวไซเทียน” ซึ่งเป็นชนเร่ร่อนขี่ม้าพูดภาษาตระกูลอิหร่าน และมีถิ่นกำเนิดในยูเครนและตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซียปัจจุบัน
ส่งผลให้ต่อมามีอารยธรรมที่เกิดขึ้นคือ “แบคเทรีย” และ “ซอกเดียน” โดยทั้งสองเป็นอาณาจักรของคนที่พูดภาษาตระกูลอิหร่านเช่นกัน และนับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์
ซึ่งเมื่อต่อมาดินแดนบริเวณนี้ก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของ “จักรวรรดิอะคีเมนิด” อีกทั้งชาวซอกเดียนและแบคเทรียดำรงตำแหน่งสำคัญในการบริหารและกองทหารของจักรวรรดิอะคีเมนิดอีกด้วย
จนกระทั่งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชพิชิตจักรวรรดิอะคีเมนิด ส่งผลให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็น “เมืองกรีกที่ไกลที่สุด” ซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายเป็น “อาณาจักรกรีก-แบคเทรีย” ตั้งอยู่แถบรอยต่อระหว่างเอเชียกลาง เอเชียใต้และอิหร่าน
เมื่อยุคกรีกล่มสลายไป ทาจิกิสถานก็ได้เข้าสู่ยุคของ “จักรวรรดิกุษาณะ” ซึ่งเป็นอาณาจักรของชาว “เยว่ซื่อ” โดยยุคนี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธที่อยู่ได้พื้นที่มาตั้งแต่ยุคพระเจ้าอโศกมหาราช
ช่วงเวลานี้เกิดเป็นอิทธิพลการสร้างผลงานศิลปะกรีกผสมพุทธหรือที่เรารู้จักว่า “ศิลปะกรีกคันธาระ” ที่มีความสวยงามเป็นเฉพาะตัวเด่นชัดอยู่ที่นี่อีกด้วย
จากนั้นดินแดนนี้ก็ถูกพิชิตโดยชาวอิหร่านอีกครั้ง ได้แก่ “จักรวรรดิพาร์เธียน” และ “จักรวรรดิแซสซานิด”
แต่หลังจากจักรวรรดิแซสซานิดล่มสลายลง ทาจิกิสถานก็อยู่ภายใต้การควบคุมของโกเติร์ก รวมถึงราชวงศ์ถังจากจีนในบางช่วงเวลา
ก่อนจะถูกพิชิตโดยชาวอาหรับในช่วงศตวรรษที่ 7 และตกอยู่ภายใต้อาณาจักรอิสลามนั่นคือ “จักรวรรดิซามานิด” เป็นอาณาจักรยุคศตวรรษที่ 9-10 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของอิหร่านกับเอเชียกลางปัจจุบัน และเป็นอาณาจักรแรกๆ ที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมเปอร์เซียกับอิสลาม ซึ่งต่อมากลายเป็นวัฒนธรรมเติร์ก-เปอร์เซีย
จักรวรรดิซามานิดนำโดย “อิสมาอิล ซามานี” ที่รวมดินแดนแถบเอเชียกลางให้เป็นปึกแผ่น และมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาอิสลามนิกายซุนนีไปทั่วดินแดนทาจิกิสถาน จนได้รับการยกย่องให้เป็น “วีรบุรุษแห่งชาติ” ของทาจิกิสถาน
หลังจากจักรวรรดิซามานิดล่มสลาย ก็เกิดเป็นอาณาจักรน้อยใหญ่ที่ปกครองทาจิกิสถานและเอเชียกลางแต่ก็ถูกรุกรานและทำลายลงอย่างหนักโดย “จักรวรรดิมองโกล”
ซึ่งดินแดนบริเวณนี้ก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของลูกหลานของเจงกิสข่านนั่นเอง
หลังการล่มสลายของจักรวรรดิมองโกล ได้มีบุรุษนามว่า “ติมูร์” สามารถพิชิตและครอบครองดินแดนบริเวณเอเชียกลางได้อย่างราบคาบ จากนั้นทำการสถาปนา “จักรวรรดิติมูริด”
และติมูร์ก็ได้รับการขนานนามว่า “จอมข่านคนสุดท้ายแห่งท้องทุ่งหญ้า”
นอกจากนี้เมื่อเขาพิชิตอาณาจักรอื่น เขาจะจับช่างฝีมือที่โด่งดังจากเปอร์เซียมายังอุซเบกิสถาน เพื่อสร้างดินแดนของเขาให้สวยงาม เพื่อสร้างสถาปัตยกรรมต่างๆ จนกำเนิดเป็น “ติมูริดเรเนซองส์” (Timurid Renaissance) หรือการฟื้นฟูศิลปวิทยาการสไตล์เปอร์เซียและอิสลามในเอเชียกลาง นับเป็นการรื้อฟื้นศิลปะแบบเปอร์เซียครั้งสุดท้าย รวมถึงจักรวรรดิติมูริดยังเป็นต้นราชวงศ์โมกุลในอินเดียอีกด้วย
อย่างไรก็ดี เมื่อจักรวรรดิติมูริดล่มสลายลง พื้นที่บริเวณทาจิกิสถาน รวมถึงเอเชียกลางก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ อยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรอื่นที่แข็งแกร่งกว่าเรื่อยมา
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าดินแดนทาจิกิสถาน และประเทศอื่นๆ ในเอเชียกลางสำคัญยังไง? ทำไมจักรวรรดิต่างๆ ถึงหมายมั่นปั้นมือเข้ามาครอบครองเหลือเกิน
สาเหตุหนึ่งมาจากที่นี่คือ “จุดยุทธศาสตร์ทางบกอันแสนสำคัญ” ซึ่งทุกชาติมหาอำนาจล้วนต้องการเข้าครอบครอง เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ในทุกยุคทุกสมัย
อีกทั้งพื้นที่เอเชียกลางยังเป็นส่วนหนึ่งของ “เส้นทางสายไหม” มหามรรคาที่เชื่อมโลกตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน
โดยเส้นทางนี้เป็นเส้นทางสำหรับการแลกเปลี่ยนทางการค้าและวัฒนธรรมระหว่างเอเชียและยุโรป ทำให้ดินแดนเอเชียกลางได้กลายเป็นศูนย์กลางที่ควบคุมเส้นทางการค้าหลักนี้ ส่งผลให้พวกเขามีความเจริญขึ้นอย่างมากนั่นเอง
และเมื่อความสำคัญของเส้นทางสายไหมลดลง เนื่องจากการเข้ามาของการค้าขายทางทะเล ส่งผลให้จักรวรรดิที่ควบคุมเส้นทางนี้เสื่อมถอยจากความรุ่งเรืองลงไปอย่างมากเช่นกัน
จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภูมิภาคเอเชียกลางก็ตกอยู่ภายใต้ “จักรวรรดิรัสเซีย” โดยบริเวณของทาจิกิสถานขึ้นตรงกับ “เอมิเรตแห่งบูคารา” ที่มีผู้ว่าการชาวรัสเซียเป็นผู้ปกครอง
อย่างไรก็ดี ช่วงเวลานี้ทาจิกิสถานก็ไม่ได้รู้สึกถึงอิทธิพลของรัสเซียเท่าไหร่นัก หรือต่อให้มีการต่อต้านแบบประปราย จักรวรรดิรัสเซียก็ตบเกลี้ยงอยู่ดี
สาเหตุของการขยายตัวของรัสเซียที่เข้ามาในเอเชียกลาง ส่วนหนึ่งมาจาก “สงครามกลางเมืองอเมริกา” ในช่วงทศวรรษ 1860 ซึ่งมันขัดขวางการหาเส้นใยฝ้ายให้กับอุตสาหกรรมของรัสเซียอย่างรุนแรง
ส่งผลให้รัสเซียหันไปหาเอเชียกลางเป็นแหล่งฝ้ายใหม่ๆ พร้อมกับเปลี่ยนนโยบายการเพาะปลูกในภูมิภาคจากเมล็ดพืชไปเป็นฝ้ายแทน (แน่นอนว่าเมื่อเปลี่ยนเป็นสหภาพโซเวียต นโยบายนี้ยิ่งขยายขึ้นไปอีก)
แต่ชนวนเหตุความรุนแรงเริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคม ปี 1916 รัสเซียได้ทำการบังคับเกณฑ์ทหารผู้คนในพื้นที่เอเชียกลางไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงเกิดเป็นผู้ประท้วงและโจมตีทหารรัสเซียในเมืองคูจันด์
แม้ทหารรัสเซียจะเข้าควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่การปะทะกันยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งปีในสถานที่ต่างๆ ในทาจิกิสถาน
ปัญหาดังกล่าวนำไปสู่การเกิดขึ้นของ “ขบวนการบาสมาชิ” ที่ต่อต้านจักรวรรดิรัสเซีย พวกเขาพยายามจัดตั้งรัฐบาลอิสระปกครองตัวเองขึ้นในเมืองโคกานด์ บริเวณหุบเขาเฟอร์กานา
ประจวบเหมาะกับสถานการณ์ “การปฏิวัติรัสเซีย ปี 1917” โดยบอลเชวิก ซึ่งสั่นสะเทือนการเมืองภายในรัสเซียอย่างมาก ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็น “สหภาพโซเวียต” นั่นเอง
ต่อมาในปี 1918 โซเวียตก็เปิดฉากโจมตีเมืองโคกานด์และก่อเหตุสังหารหมู่มากถึง 25,000 คน รวมถึงมีการโจมตีในบูคาราในปี 1920
ซึ่งการกระทำอันโหดร้ายของโซเวียต มันยิ่งทำให้เพิ่มเสียงสนับสนุนให้ขบวนการบาสมาชิยิ่งขึ้นไปอีก นำไปสู่การทำสงครามแบบกองโจร และยึดพื้นที่ของโซเวียตได้จำนวนมาก
อย่างไรก็ดี การรณรงค์ครั้งใหญ่ของกองทัพแดงทำให้ขบวนการบาสมาชิเพลี่ยงพล้ำหลายครั้ง รวมถึงมีการเจรจาเกี่ยวกับแนวทางเศรษฐกิจและการปฏิบัติต่อศาสนาอิสลามต่อประชาชนและขบวนการบาสมาชิด้วย
ส่งผลให้แรงสนับสนุนบาสมาชิลดลงไปอย่างมาก และพ่ายแพ้ต่อโซเวียตไปในที่สุด
ต่อมาในปี 1924 “โจเซฟ สตาลิน” มีการขีดเส้นแบ่งประเทศใหม่ซึ่งแบ่งเอเชียกลางออกเป็น 5 ประเทศตามเชื้อชาติใหญ่ๆ นับเป็นการแบ่งประเทศตามแนวคิดชาตินิยมที่ไม่เคยมีมาก่อนในเอเชียกลาง …และมันนำไปสู่ความขัดแย้งนั่นเอง…
เนื่องจากได้มีการจัดตั้ง “สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตทาจิกิสถาน” ขึ้นปกครองตัวเองและเป็นส่วนหนึ่งของ “สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอุซเบก”
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเมืองโบราณของทาจิกิสถานอย่าง “บูคาราและซามาร์คันด์” กลับไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโซเวียตทาจิกิสถาน แต่ดันไปอยู่กับโซเวียตอุซเบก
ส่งผลให้ชาวทาจิกิสถานตกอยู่ภายใต้แรงกดดันให้ปฏิบัติตามอัตลักษณ์ “อุซเบกิสถาน” เสี่ยงจากการถูกเนรเทศ หลายคนถูกบังคับให้เปลี่ยนตัวเองเป็นอุซเบกิสถาน
รวมถึงโรงเรียนทาจิกิสถานถูกปิดลง และชาวทาจิกิสถานถูกกีดกันให้ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้นำทางการเมือง เพราะ “เชื้อชาติ” ที่แตกต่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงการเกิดขึ้นของ “การทำฟาร์มแบบรวม” ส่งผลให้ชาวนาบางส่วนต่อต้านและพยายามฟื้นฟูขบวนการบาสมาชิขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้มีผลเท่าที่ควร
อีกทั้งยังมีการขับไล่ผู้คนเกือบ 10,000 คนจากทุกระดับของพรรคคอมมิวนิสต์ทาจิกิสถาน จากนั้นส่งชาวรัสเซียเข้ามาครอบงำตำแหน่งสำคัญต่างๆ ในพรรคทั้งหมด นอกจากนี้ชาวทาจิกิสถานเริ่มถูกเกณฑ์เข้ากองทัพโซเวียต เพื่อไปรบในสงครามโลกครั้งที่สองมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้สตาลินจะตายไป แต่การขยายการเกษตรและอุตสาหกรรมของทาจิกิสถานยังคงดำเนินการต่อไป ทั้งที่สภาพความเป็นอยู่ การศึกษา และอุตสาหกรรมในทาจิกิสถานยังล้าหลังกว่าสาธารณรัฐโซเวียตหลายขุมนัก
สิ่งที่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนคือ ช่วงทศวรรษ 1980 ทาจิกิสถานมีอัตราการออมครัวเรือนต่ำที่สุดในสหภาพโซเวียต , เปอร์เซ็นต์ครัวเรือนในกลุ่มที่มีรายได้ต่อหัวสูงสุดต่ำที่สุด และมีอัตราการสำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยต่อประชากร 1,000 คนต่ำที่สุด …เรียกว่า “แย่” ในทุกทาง…
ปัญหาเศรษฐกิจสุดบัดซบนำไปสู่การประท้วงของประชาชนในปี 1990
และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายลงไปในปี 1991 ทาจิกิสถานก็ได้ประกาศเอกราชเป็นของตนเองด้วยเช่นกัน (แม้จะช้าที่สุดก็ตาม)
“เอโมมาลี ราห์มอน” ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1994
ช่วงเวลานี้มีการส่งเสริมการใช้ภาษาทาจิกิสถานมากขึ้น (ก่อนหน้านี้ใช้ภาษารัสเซีย) อีกทั้งชาวรัสเซียที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็สูญเสียอิทธิพล แล้วเปลี่ยนมาสู่บทบาททางการเมืองของชาวทาจิกิสถานแทน
…แต่ทุกอย่างไม่ได้สวยงามดั่งฝัน… ทาจิกิสถานตกอยู่ในสภาวะ “สงครามกลางเมือง” แตกออกเป็นหลายฝ่าย เช่น กลุ่มฝ่ายค้านแห่งทาจิกิสถาน , กลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่าง , กลุ่มคนที่ไม่ใช่มุสลิมอย่างชาวรัสเซียและชาวยิว เป็นต้น
ทาจิกิสถานในช่วงนี้เต็มไปด้วยปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ความรุนแรง ความยากจน ก่อนจะยุติ
สงครามกลางเมืองไปในปี 1997 เพราะได้มีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างราห์มอนและกลุ่มฝ่ายค้านแห่งทาจิกิสถาน
หลังจบสงครามกลางเมือง ทาจิกิสถานก็อยู่ในสภาพที่ถูกทำลายล้างอย่างสมบูรณ์ ซึ่งคาดว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100,000 คน รวมถึงมีผู้ลี้ภัยทั้งภายในและภายนอกประเทศมากถึงประมาณ 1.2 ล้านคน
การเลือกตั้งถูกจัดขึ้นอีกครั้งในปี 1999 ราห์มอนได้รับการเลือกตั้งอีกครั้งด้วยคะแนนเสียงเกือบเป็นเอกฉันท์ ท่ามกลางเสียงก่นด่าของอีกฝ่ายถึงความอยุติธรรม
ปัจจุบันราห์มอนยังคงชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง และอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีมาจนถึงปัจจุบัน
จะไม่ให้ชนะทุกรอบได้ยังไงครับ?! เพราะมีการสร้างลัทธิบูชาบุคคล , ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองถูกปราบปราม , ละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพอย่างรุนแรง , การเลือกตั้งแบบล็อกผลและรู้อนาคต , การคอร์รัปชั่น และการเล่นพรรคเล่นพวกแบบเต็มที่
แถมปัจจุบันลูกชายของราห์มอนยังเป็นประธานรัฐสภาของประเทศและนายกเทศมนตรีของเมืองหลวงดูชานเบ ควบตำแหน่งอิ่มๆ กันไปเลย!
…แน่นอนครับว่ามันคือ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” นั่นแหละ…
จบลงไปแล้วครับประวัติศาสตร์ทาจิกิสถานแบบสรุปเข้าใจง่าย หวังว่าท่านผู้อ่านจะชื่นชอบบทความนี้กันนะครับ …และอันนี้เป็นช่วงขายของ! ตอนนี้เรามี “ทัวร์อุซเบทาจิก” โดยเราจะพาท่านไปสัมผัสประสบการณ์สุดคุ้มถึง “สองสถาน” ทั้งประเทศอุซเบกิสถานและทาจิกิสถาน…
ซึ่งเราตั้งใจจัดทำเพื่อพาท่านไปรู้จักและผจญภัยในดินแดนเอเชียกลางแห่งนี้ เพื่อรับประสบการณ์ที่แตกต่าง และสัมผัสบรรยากาศแบบใหม่ที่อาจไม่เคยลิ้มลอง หากท่านใดสนใจขอโปรแกรม สามารถติดต่อได้ทาง inbox หรือแอด LINE OA ได้ที่ @thewildchronicles (พิมพ์ @ ด้านหน้า) และพิมพ์ว่า “สนใจทัวร์อุซเบทาจิก” ได้เลยนะครับ
🎈 บริษัท The Wild Chronicles ใบอนุญาตประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ 11/10382 🎈
0 Comment