ซีรีย์ “House of the Dragon” จากผลงานของ จอร์จ. อาร์. อาร์. มาร์ติน นักเขียนนวนิยายแฟนตาซีชื่อดังให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับแรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์อังกฤษตอนหนึ่ง ซึ่งคนอาจไม่ค่อยรู้จักกันนัก
เหตุการณ์นั้นคือ “The Anarchy” (ยุควุ่นวาย) ซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองที่สร้างความพินาศย่อยยับมากที่สุดครั้งหนึ่ง แม้เทียบกับมาตรฐานยุคกลางที่นองเลือดอยู่แล้ว
เหตุการณ์นี้จะเป็นอย่างไร? จะเข้ากับธีมการแย่งชิงบัลลังก์แบบเดียวกับในซีรีย์หรือไม่? มาทำความรู้จักไปพร้อมกันครับ
อารัมภบท
หลังจากพระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิตนำกองกำลังชาวนอร์มันจากฝรั่งเศสมาบุกยึดเกาะอังกฤษได้ในปี 1066 ราชวงศ์นอร์มันของพระองค์ก็ขึ้นปกครองสืบต่อมา
แต่แล้วหลังจากนั้นเพียง 1 อายุคน ก็มีเหตุให้สะดุด…
นั่นคือพระเจ้าเฮนรีที่ 1 ซึ่งเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 3 ของราชวงศ์นอร์มันนั้นมีพระราชโอรส-ธิดาแบบถูกต้องตามกฎหมายเพียง 2 พระองค์ เป็นชาย 1 หญิง 1 และตามธรรมเนียมพระโอรสจะต้องเป็นรัชทายาท
แต่ในปี 1120 เกิดเหตุเรือลำหนึ่งล่มในช่องแคบอังกฤษ มีผู้เสียชีวิตเกือบ 300 คน …ซึ่งมันคงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เลย ถ้าหากบนเรือลำนั้นไม่ได้บรรทุกรัชทายาทโดยชอบธรรมเพียงพระองค์เดียวของอังกฤษอยู่ด้วย!
การสูญเสียพระโอรสทำให้ราชบัลลังก์อังกฤษสั่นคลอน เฮนรี พยายามอภิเษกใหม่เพื่อมีลูกชาย …แต่ก็ไม่มี
ดังนั้นในช่วงบั้นปลาย เฮนรีจึงตัดสินใจตั้งพระราชธิดาเป็นรัชทายาท …ซึ่งเป็นเรื่องขัดต่อธรรมเนียมในสมัยนั้น แต่เฮนรีก็พยายามบังคับให้เหล่าขุนนางสาบานตนว่าจะยอมรับพระนางเป็นกษัตริย์
ทีนี้มาทำความรู้จักกับพระธิดาของพระเจ้าเฮนรีที่ 1 เสียเล็กน้อย …พระองค์มีพระนามว่า “มาทิลดา” เนื่องจากได้อภิเษกกับจักรพรรดิเฮนรีที่ 5 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (กษัตริย์เป็นเชื้อสายเยอรมัน และมีดินแดนทับซ้อนกับประเทศเยอรมันปัจจุบัน) ดังนั้นจึงมียศจักรพรรดินีด้วย
เมื่อพระราชสวามีของจักรพรรดินีมาทิลดาเสด็จสวรรคตในปี 1125 เฮนรีทรงเรียกพระนางกลับอังกฤษ และอภิเษกพระนางใหม่กับ “จอฟฟรี” ทายาทของเคานต์อ็องฌู (County of Anjou) เพื่อสร้างพันธมิตร
อย่างไรก็ตามเหล่าขุนนางอังกฤษต่างไม่ชอบใจนัก พวกเขามีเหตุผลหลายอย่างคือ:
1) พวกเขาไม่ชอบที่อังกฤษจะมีกษัตริย์เป็นผู้หญิง
2) พวกเขาตำหนิว่ามาทิลดาไปเป็น “จักรพรรดินีต่างชาติ” นาน และ
3) การอภิเษกรอบสองยังเป็นการอภิเษกกับเจ้าแคว้นอ็องฌู ซึ่งถือเป็นคู่ปรับของชาวนอร์มันมาช้านาน (อย่าลืมว่านี่คือราชวงศ์นอร์มัน)
ตอนที่เฮนรียังอยู่ทุกคนก็ยังเกรงใจ แต่เมื่อดังนั้นเมื่อเฮนรีสวรรคตในปี 1135 ขุนนางจำนวนมากจึงเมินคำสาบาน และพากันเลือกสตีเฟนแห่งบลัว (Stephen of Blois) เป็นกษัตริย์แทน
ทั้งนี้สตีเฟนเป็นหลานพระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิต และมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับมาทิลดา นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติที่ขุนนางนิยมมากกว่า ทั้งเคยมีประสบการณ์การรบพุ่ง, มีอำนาจ, ได้รับการสนับสนุนจากสมเด็จพระสันตะปาปายูจีนที่ 3
…และที่สำคัญคือเป็นผู้ชาย…
ชนวนเหตุของศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้จึงเกิดขึ้น…
ก่อนอื่นเลยควรทราบก่อนว่าสงครามกลางเมืองในครั้งนี้ แม้จะกินเวลาระหว่างปี 1138 ถึง 1153 หรือประมาณ 15 ปี แต่จริงๆ ก็รบสลับกับหยุดพักไปเรื่อย ๆ
คือระหว่างปี 1135 ถึง 1138 พระเจ้าสตีเฟนสามารถปกครองบนเกาะอังกฤษได้โดยไร้การต่อต้าน มาทิลดาก็อึนๆ ทำอะไรมากไม่ได้ อย่างไรก็ตามนางกับพระสวามีใหม่ได้ฉวยโอกาสนี้ชิงพื้นที่บางส่วนในแคว้นนอร์มังดีมาครอง (ตอนนั้นแคว้นนอร์มังดีในฝรั่งเศสยังเป็นดินแดนของชาวนอร์มันซึ่งขึ้นกับกษัตริย์ที่ลอนดอน)
ในปี 1138 โรเบิร์ด เอิร์ลแห่งกลอสเตอร์ (Gloucester) ซึ่งเป็นแคว้นสำคัญ ประกาศไม่ยอมรับอำนาจของสตีเฟน ซึ่งนักประวัติศาสตร์มักถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองครั้งนี้…
ผลจากการประกาศไม่ยอมรับอำนาจดังกล่าว ทำให้ขุนนางท้องถิ่นในเคนต์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะอังกฤษลุกฮือขึ้นด้วย ขณะเดียวกันพระเจ้าเดวิดที่ 1 แห่งสกอตแลนด์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของจักรพรรดินีมาทิลดา ก็ส่งกองทัพมาบุกภาคเหนือของอังกฤษโดยอ้างว่าเพื่อทวงสิทธิ์ให้แก่หลานสาวของพระองค์!
บ้านเมืองปั่นป่วน ราชบัลลังค์สั่นคลอน ตามพิชัยสงครามมาทิลดาควรจะยกพลจากนอร์มังดีไปตีสตีเฟนเป็นทัพกระหนาบ อย่างไรก็ตามพระนางรีรอลังเลอยู่นานเกินไป จนกลายเป็นว่าพระเจ้าสตีเฟนสามารถปราบปรามกบฏบนเกาะอังกฤษได้ และในขณะเดียวกันสามารถเจรจาสันติภาพกับสกอตแลนด์ได้โดยยินยอมยกดินแดนบางส่วนให้
ในปี 1139 มาทิลดาที่คงพึ่งคิดได้พยายามรวบรวมกำลังคนเพื่อเตรียมบุกเกาะอังกฤษ และขอการสนับสนุนจากสมเด็จพระสันตะปาปา ขณะที่สตีเฟนก็พยายามเดินสายแต่งตั้งและมอบที่ดินให้ขุนนางหลายคน เพื่อซื้อเสียงแก่คณะเขียว อีกทั้งพยายามตัดอำนาจของนักบวชที่พระองค์มองว่าเป็นภัยคุกคาม
บุกเกาะอังกฤษ
ในเดือนสิงหาคม 1139 มาทิลดากับผู้สนับสนุนได้ยกทัพขึ้นบกทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะอังกฤษ สตีเฟนเคลื่อนทัพมาหมายจะปราบปราม แต่ก็พบว่าฝ่ายมาทิลดามีปราสาทที่มีการป้องกันอย่างดีหลายแห่ง จึงยึดพื้นที่คืนได้เพียงเล็กน้อย
…ในปี 1140 มีเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของสงครามกลางเมืองครั้งนี้นั่นคือการสู้รบที่ปราสาทลิงคอล์น…
เมืองลิงคอล์นตั้งอยู่ในมณฑลลิงคอล์นเชอร์ทางตะวันออกของอังกฤษ ตัวปราสาทตั้งขึ้นในรัชกาลพระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิต และตั้งอยู่บนพื้นที่ของป้อมโรมันโบราณ นอกจากนี้ตัวปราสาทยังมีคูน้ำถึง 2 ชั้นซึ่งเป็นปราสาท 1 ใน 2 แห่งทั่วทั้งเกาะอังกฤษที่เป็นแบบนี้ ทำให้ถือเป็นปราสาทที่มีการป้องกันดีอันดับต้นๆ หากใครได้ครองก็จะมีเปรียบมาก
ประเด็นมีอยู่ว่ามีขุนนางคนหนึ่งชื่อรานูลฟ์แห่งเชสเตอร์ไม่พอใจที่สตีเฟนมอบดินแดนทางภาคเหนือของอังกฤษให้คนอื่น และอ้างสิทธิ์เหนือปราสาทลิงคอล์น รานูลฟ์จึงออกอุบายยึดปราสาทมาได้ ทำให้สตีเฟนต้องรีบไปสงบศึกเพื่อป้องกันไม่ให้รานูลฟ์ไปเข้ากับมาทิลดา
สตีเฟนไปเจรจาได้ข้อตกลงมาสำเร็จ แต่ตอนนั้นพระองค์เห็นว่าปราสาทมีการป้องกันเบาบาง จึงทำทีเคลื่อนทัพกลับแล้วลอบนำกำลังย้อนมายึด
…ตอนนั้นรานูลฟ์ไหวตัวทันชิงหลบออกจากปราสาทไปก่อน เขาจึงประกาศสนับสนุนมาทิลดา ทำให้กลายเป็นว่ามาทิลดาได้พันธมิตรเพิ่มมาอีกคน ส่วนสตีเฟนนั้นตีปราสาทลิงคอล์นไม่แตก ก็ทำได้แค่ล้อมไว้เฉย ๆ
…วันที่ 2 ก.พ. 1140 กองทัพของโรเบิร์ตแห่งกลอสเตอร์และรานูลฟ์แห่งเชสเตอร์มาถึงลิงคอล์นเช่นกัน พวกเขาจึงเข้ารบกับกองทัพหลวงของพระเจ้าสตีเฟนเป็นทัพกระทบ ซึ่งตัวสตีเฟนเองต่อสู้อย่างกล้าหาญ ถึงกับไปร่วมรบกับพลเดินเท้า
…แต่สุดท้ายพระองค์ก็เพลี่ยงพล้ำถูกจับได้ในที่รบ…
…และนี่เป็นเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นที่จดจำมากที่สุดของสงครามกลางเมือง The Anarchy…
มาทิลดาสบโอกาสก็คิดจะตั้งตนเป็นกษัตริย์ที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ (เป็นวิหารสำคัญของอังกฤษ) และเจรจาจนพวกบาทหลวงยอมรับฐานะแล้ว โดยประกาศให้มาทิลดาเป็น “เลดี้แห่งอังกฤษและนอร์มังดี”
อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าแผนการนี้ต้องสะดุดลงเพราะชาวลอนดอนก่อเหตุจลาจลขึ้นอาจเป็นเพราะไม่ยอมรับผู้หญิง จนทำให้มาทิลดากับผู้สนับสนุนต้องหนีออกไปยังเมืองอ็อกซ์ฟอร์ด
นอกจากนี้ปัจจัยแวดล้อมภายนอกยังไม่เข้าข้างมาทิลดา เพราะขณะเกิดสงครามกลางเมืองบนเกาะอังกฤษ ขุนนางและกษัตริย์ฝรั่งเศสก็ฉวยช่องว่างที่แคว้นนอร์มังดีขาดแคลนกำลังทหาร จึงยกทัพมาคิดจะตี ทำให้ผู้สนับสนุนของมาทิลดาหลายคนถอนการสนับสนุนเพื่อกลับไปป้องกันดินแดนของตัวเอง และทำให้ฝ่ายมาทิลดาอ่อนแอลง
…ในช่วงนี้พระราชินีมาทิลดาแห่งบูโลญ (เป็นพระมเหสีของสตีเฟน ชื่อบุคคลในช่วงนี้ซ้ำกันเยอะหน่อยนะครับ) ก็รวบรวมผู้ภักดีต่อพระสวามีมาสู้รบด้วยเหมือนกัน ฝ่ายพระราชินีมาทิลดาสามารถชนะฝ่ายจักรพรรดินีมาทิลดาได้ที่วินเชสเตอร์ และยังสามารถจับตัวโรเบิร์ตซึ่งเป็นแม่ทัพสำคัญได้ด้วย
สองมาทิลดาเจรจากัน สุดท้ายราชินีมาทิลดาบีบให้จักรพรรดินีมาทิลดาแลกเปลี่ยนตัวเชลยกันระหว่างสตีเฟนกับโรเบิร์ตสำเร็จ…
โชคชะตาพลิกกลับมาเข้าข้างฝ่ายสตีเฟน ช่วงปี 1141 – 1142 พระองค์เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างต่อเนื่องโดยสามารถตามไล่ตีที่มั่นของฝ่ายจักรพรรดินีมาทิลดาได้หลายแห่ง ตัวจักรพรรดินีเองถูกล้อมไว้ที่ปราสาทอ็อกซ์ฟอร์ด จนต้องอาศัยปลอมตัวเป็นศพหนีออกมา และย้ายไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองดีไวซิส (Devizes) ทางตะวันตก
ช่วงปลายสงคราม
เมื่อเข้าสู่ปี 1143 สถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายในสงครามกลางเมืองไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ฝ่ายสตีเฟนสามารถกำราบขุนนางที่ก่อกบฏในภาคเหนือและตะวันออกของประเทศได้ ขณะที่จักรพรรดินีมาทิลดาเลิกหวังบัลลังก์ แต่เน้นการสนับสนุนให้บุตรชายขึ้นครองราชย์แทน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการศึกระหว่างคู่สงคราม 2 ฝ่ายจะดูซา ๆ ลงไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศจะสงบสุข เพราะบรรดาขุนนางระดับล่างเห็นว่าบ้านเมืองปั่นป่วนก็ผสมโรงรบชิงความเป็นใหญ่กันอยู่ทั่วไป บ้านเมืองไร้ขื่อแป ใครมีกำลังใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นได้ตามใจเพราะไม่มีอำนาจเหนือมาคอยควบคุม
นี่จึงนำมาซึ่งชื่อ “The Anarchy” หรือแปลว่าอนาธิปไตย-ภาวะไร้รัฐนั่นเอง แม้แต่นักเขียนบันทึกเหตุการณ์ยังเรียกขานยุคนั้นว่าเป็นยุคที่ “พระเยซูและนักบุญของพระองค์หลับใหล” อันสื่อว่าเกิดความพินาศฉิบหายใหญ่หลวงแม้เทียบกับมาตรฐานในยุคเดียวกัน
…ในปี 1147 มีการประกาศทำสงครามครูเสดครั้งที่ 2 ซึ่งมีขุนนางทั้งฝ่ายพระเจ้าสตีเฟนและจักรพรรดินีมาทิลดาเข้าร่วมด้วย มาถึงช่วงนี้ขุนนางระดับล่าง ๆ ของทั้งสองฝ่ายต่างเจรจากันเองเพื่อรักษาพื้นที่ของตนเอง กลายเป็นช่วยลดความรุนแรงของสงครามกลางเมืองลงได้มาก
หลังจากนั้นฝ่ายสตีเฟนต้องพยายามอย่างมากเพื่อรักษาสถานภาพของพระโอรสอูสเตส (Eustace) จึงพยายามให้บาทหลวงประกอบพิธีสวมมงกุฎให้อูสเตสทั้งที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพ แต่บาทหลวงสำคัญปฏิเสธเพราะเห็นว่าผิดธรรมเนียมและยืนยันจะรอให้พระสันตะปาปาเห็นชอบก่อน พระเจ้าสตีเฟนไม่พอพระทัยจึงจับบาทหลวงขังไว้ แต่เขาก็หลบหนีไปได้ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าสตีเฟนกับฝ่ายศาสนาเสื่อมทรามมาก
ในปี 1153 เจ้าชายเฮนรี โอรสของจักรพรรดินีมาทิลดา นำกำลังจากนอร์มังดีมาบุกเกาะอังกฤษอีก และได้ผนึกกำลังกับโรเบิร์ตแห่งเลสเตอร์ ทำให้มีพื้นที่กว้างใหญ่ทางตะวันตกของอังกฤษ
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าโดยต่างฝ่ายต่างทำอะไรกันไม่ได้มาก เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็มีปราสาทที่มีการป้องกันอย่างดี
ยุคนั้นการชิงปราสาทใหญ่ๆ แห่งหนึ่งจำต้องทุ่มกำลังจำนวนมากหรือต้องเสียเวลาเป็นปี ๆ ล้อมเอาไว้ให้คนข้างในอดตายไปเอง …ซึ่งมันต้องใช้ทรัพยากรเยอะมาก และขุนนางของทั้งสองฝ่ายก็เบื่อหน่ายการรบเต็มทนแล้ว
จบ…เสียที
ต่อมาฝ่ายศาสนายื่นมือเข้ามารับเป็นตัวประสานงานในการเจรจาสงบศึก สตีเฟนและเจ้าชายเฮนรีไม่ชอบสิ่งนี้ แต่ขุนนางส่วนใหญ่ไม่อยากรบต่อแล้ว ผู้นำ 2 ฝ่ายจึงเหมือนถูกมัดมือชกให้ยอมสงบศึกด้วย
…และอีกหนึ่งเดือนต่อมา อูสเทส โอรสของสตีเฟนป่วยเสียชีวิต ดังนั้นสถานการณ์จึงเข้าทางให้การเจรจาสันติภาพเป็นไปโดยง่ายขึ้น
ในปี 1153 มีการเจรจาได้ข้อยุติเป็นสนธิสัญญาวินเชสเตอร์ มีเนื้อหาว่าสตีเฟนจะได้เป็นกษัตริย์ต่อไป แต่เจ้าชายเฮนรีจะได้เป็นรัชทายาทสืบราชบัลลังค์หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายจะประกอบพิธีจุมพิตสันติภาพในมหาวิหารตามธรรมเนียมคริสเตียนที่เชื่อว่าจุมพิตเป็นสัญลักษณ์ของความหวังดี
อีกเพียงหนึ่งปีถัดมา สตีเฟนเสด็จสวรรคต บัลลังก์จึงตกเป็นของเฮนรี มีการเฉลิมพระนามว่า พระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษ
และเนื่องจากพระองค์เป็นผู้สืบสกุลแพลนแทเจอนิต (Plantagenet) ตามธรรมเนียมการสืบเชื้อสายจากฝั่งบิดา ดังนั้นราชวงศ์นอร์มันในตำแหน่งกษัตริย์อังกฤษจึงสิ้นสุดลงในเวลา 88 ปี…
และนับว่าเฮนรีที่ 2 เป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์แพลนแทเจอนิตที่จะปกครองอังกฤษต่อไปอีก 300 กว่าปีนั่นเอง
เป็นอย่างไรครับ ท่านใดดู House of Dragon แล้ว เรื่องนี้มีความเหมือนหรือต่างไปอย่างไร คอมเมนต์มาได้เลยนะครับ ^^
0 Comment