นับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2025 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศ “วันปลดปล่อยอเมริกา” (Liberation Day) จากการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยใช้นโยบายเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ที่ถูกเก็บในอัตราที่สูงลิบลิ่ว
หลังการประกาศครั้งนี้ เศรษฐกิจทั่วโลกก็บังเกิดความผันผวน แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังเดินหน้าสานต่อนโยบายนี้ โดยชี้ว่ามาตรการภาษีถือเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯ ขึ้นเป็นผู้นำในระบบการค้าระดับโลก และทำให้สหรัฐฯมีอำนาจต่อรองกับ หลายๆ ประเทศมากขึ้น
แต่ทำไมเรื่อง “ภาษีนำเข้าทรัมป์” จึงสำคัญกว่าที่คิด?
…เพราะนี่ไม่ใช่แค่การเก็บภาษีสินค้าจากต่างประเทศธรรมดา ๆ
…แต่มันคือการเขย่าระบบเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ ที่อาจทำให้ของที่คุณใช้แพงขึ้น การค้าระหว่างประเทศเปลี่ยนทิศ และสหรัฐอเมริกาเองอาจสูญเสียตำแหน่ง “ผู้นำโลก” ไปโดยไม่รู้ตัว…
มาร่วมกันหาคำตอบได้ที่โพสต์นี้ได้เลยครับ
◾ภาษีนำเข้า คืออะไร?
◾ทำไมทรัมป์ถึงขึ้นภาษีนำเข้า?
◾การคำนวณอัตราภาษีนำเข้าของทรัมป์
◾ความเข้าใจผิดและข้อผิดพลาดในการคำนวณอัตราภาษี
◾ผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์
◾เหตุการณ์ประท้วงในสหรัฐฯ
◾ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในฐานะมหาอำนาจที่อาจเปลี่ยนแปลง
_____________________
***ภาษีนำเข้า คืออะไร?***
1. ภาษีนำเข้า หรือ ภาษีศุลกากร เป็นภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศของตน โดยปกติจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าสินค้านำเข้า ภาษีนี้ทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น
2. ภาษีนำเข้ามีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากการแข่งขันกับสินค้านำเข้าที่อาจมีราคาถูกกว่า ซึ่งช่วยรักษาการจ้างงานและส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมภายในประเทศ อีกทั้งภาษีนำเข้ายังเป็นแหล่งรายได้หนึ่งของรัฐบาล และถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจาการค้า เพื่อสร้างความสมดุลในดุลการค้าและตอบโต้การกระทำที่ไม่เป็นธรรมจากประเทศคู่ค้า
3. แต่การกำหนดภาษีนำเข้ามีผลกระทบทั้งทางบวกและลบต่อเศรษฐกิจ คือ ภาษีนำเข้าทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับสินค้านำเข้า หรือหันไปใช้สินค้าภายในประเทศแทน
ส่วนผลกระทบต่อผู้ผลิต คือ ผู้ผลิตภายในประเทศได้รับประโยชน์จากการลดการแข่งขันจากสินค้านำเข้า แต่ผู้ผลิตที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจะต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น
4. แถมการเพิ่มภาษีนำเข้าอาจนำไปสู่การตอบโต้จากประเทศคู่ค้า จนทำให้เกิดสงครามการค้า (Trade War) ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น การกำหนดภาษีนำเข้าจึงเป็นนโยบายที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและการส่งเสริมการค้าเสรี
_____________________
***ทำไมทรัมป์ถึงขึ้นภาษีนำเข้า?***
5. พื้นเพของทรัมป์เป็นนักธุรกิจที่ยึดยึดมั่นในแนวทางการขึ้นภาษีนำเข้ามาโดยตลอดตั้งแต่ยุค 1980 เพราะเขาเชื่อว่าภาษีศุลกากรเป็นวิธีที่ทรงประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และตอนนี้ ทรัมป์กำลังเดิมพันการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ บนความเชื่อว่าความคิดนี้ถูกต้อง
6. โดยระหว่างงานที่สวนกุหลาบทำเนียบขาว ทรัมป์ได้ประกาศอัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่ครอบคลุมประเทศต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกับประเทศพันธมิตร คู่แข่ง หรือศัตรู พร้อมวิพากษ์วิจารณ์ข้อตกลงการค้าเสรีต่าง ๆ เช่น ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) และองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นต้น
7. ทรัมป์เชื่อว่าสหรัฐฯ กำลังเสียเปรียบในการค้าโลก เพราะประเทศต่าง ๆ แห่กันมาขายสินค้าราคาถูกในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลเสียต่อบริษัทต่าง ๆ พร้อมทั้งส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน ในสหรัฐฯ และขณะเดียวกัน ประเทศต่าง ๆ เหล่านี้กลับสร้างอุปสรรคที่ทำให้สินค้าต่าง ๆ ของสหรัฐฯ แข่งขันในต่างประเทศได้น้อยลง
ดังนั้น การใช้มาตรการภาษีนำเข้าในการขจัดการขาดดุลทางการค้า ทรัมป์หวังที่จะฟื้นฟูอุตสาหกรรมการผลิตในสหรัฐฯ และปกป้องตำแหน่งงานในประเทศได้ โดยสหรัฐมุ่งหวังการปรับขึ้นภาษีครั้งนี้ จะทำให้มีประเทศมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้นมากกว่า 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
_____________________
***การคำนวณอัตราภาษีนำเข้าของทรัมป์***
8. สำหรับอัตราภาษีนำเข้าที่ทรัมป์ประกาศ คือ 10% กับสินค้าที่ประเทศส่วนใหญ่นำเข้ามาในสหรัฐฯ และกำหนดอัตราที่สูงยิ่งกว่าสำหรับประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า เช่น จีน ไต้หวัน เวียดนาม อินโดนีเซีย รวมถึงประเทศไทยของเรา ซึ่งเขาเรียกว่า “ผู้คุกคามที่ร้ายแรงที่สุด” (worst offenders)
9. โดยทำเนียบขาวได้เปิดเผยสูตรการคำนวณอัตราภาษีนำเข้า โดยใช้ตัวเลขการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯ กับ หารด้วยสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากประเทศนั้น จากนั้นก็นำตัวเลขที่ได้มาหารสอง ทำให้ประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่สูง เช่น จีน 34% (รวมกับของเดิม 20% เป็น 54%) รวมถึงประเทศไทยที่จะถูกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 37% ซึ่งเหนือความคาดหมายก่อนหน้านี้ถึง 3 เท่า
_____________________
***ความเข้าใจผิดและข้อผิดพลาดในการคำนวณอัตราภาษี***
10. อย่างไรก็ตาม สูตรคำนวณนี้ยังมีข้อผิดพลาดที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและนำไปสู่การกำหนดอัตราภาษีที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ เพราะการใช้สูตรดังกล่าวไม่ได้พิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าอย่างมีนัยสำคัญ
11. เพราะการคำนวณดังกล่าวมุ่งเน้นเฉพาะยอดขาดดุลการค้าโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (comparative advantage) และโครงสร้างเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ซึ่งส่งผลให้การกำหนดอัตราภาษีไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ ประเทศที่มีรายได้น้อยต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงมาก เช่น มาดากัสการ์ (47%) และเลโซโท (50%)
12. ซึ่งทรัมป์มักใช้กลยุทธ์การเจรจา “Madman Theory” หรือ “ทฤษฎีคนบ้า” ที่เริ่มต้นด้วยการเสนอข้อเรียกร้องที่รุนแรงหรือสุดโต่ง เพื่อสร้างแรงกดดันและบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาเจรจาต่อรองเสมอ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเชื่อว่าผู้นำมีความไม่แน่นอนและอาจทำสิ่งที่คาดไม่ถึง ทำให้พวกเขายอมประนีประนอมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยง เนื่องจากการเริ่มต้นด้วยข้อเรียกร้องที่รุนแรงอาจสร้างความตึงเครียดและความไม่พอใจในระดับนานาชาติ และอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรทางการค้าที่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์ดังกล่าวอาจนำไปสู่การตอบโต้ทางการค้าจากประเทศอื่น ๆ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เอง
_____________________
*** ผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ ***
13. นโยบายการเก็บภาษีนำเข้าของทรัมป์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เนื่องจากก่อให้เกิดผลเสียทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศสหรัฐฯ และทั่วโลก โดยนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าภาษีศุลกากรมหาศาลนี้ จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคชาวอเมริกัน เพราะจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นและก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
หรือตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยตลาดหุ้น S&P500 ยังร่วงลงกว่า 11% ภายในสองวัน ทำให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ สิ่งนี้สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า และความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยหลายฝ่ายกังวลว่า นโยบายภาษีจะนำไปสู่สงครามการค้าและภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งอาจทำให้ GDP ของสหรัฐฯ ลดลง 0.3% และอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.3%
14. ส่วนบริษัทต่างๆ ของสหรัฐฯ ที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าก็ได้รับผลกระทบ เพราะภาษีนำเข้าทำให้มีต้นทุนสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทบางรายลดการลงทุนหรือเลิกจ้างพนักงาน ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ เช่น รถยนต์ และเทคโนโลยีที่มักมีฐานการผลิตนอกสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบมากเช่นกัน
รวมไปถึงอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา รถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ และที่ปรึกษาของทรัมป์เองก็ยังแสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายภาษีของทรัมป์อย่างชัดเจน แถมมัสก์ยังวิพากษ์วิจารณ์ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ว่า นาวาร์โรไม่มีประสบการณ์ในการสร้างธุรกิจและนโยบายภาษีของเขาส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ
15. หรือหากย้อนกลับไปในหน้าประวัติศาสตร์ สหรัฐฯ ก็เคยมีการเพิ่มภาษีนำเข้าซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในประเทศและทั่วโลกอ คือ พระราชบัญญัติภาษีศุลกากรสมูท-ฮอว์ลีย์ (Smoot-Hawley Tariff Act) ในปี 1930 ซึ่งเพิ่มภาษีสินค้านำเข้ากว่า 20,000 รายการ ส่งผลให้ประเทศคู่ค้าตอSmoot-Hawley Tariff Actบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ทำให้การค้าโลกหดตัวลงอย่างมาก และถูกมองว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression)
16. แม้ว่ามาตรการการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจช่วยลดการขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบางประเทศได้ แต่การขาดดุลการค้าโดยรวมของสหรัฐฯ กับทั่วโลกอาจไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศ คือ สหรัฐฯ มีการบริโภคมากกว่าการผลิต และนำเข้าสินค้ามากกว่าการส่งออก
รวมไปถึงบทบาทของดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะสกุลเงินสำรองของโลก ทำให้มีความต้องการดอลลาร์สูงจากประเทศอื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า การแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้สินค้าส่งออกของสหรัฐฯ มีราคาสูงขึ้นและแข่งขันได้ยากขึ้น ในขณะที่สินค้านำเข้ามีราคาถูกลง ส่งผลให้การขาดดุลการค้ายังคงอยู่
17 ดังนั้น การแก้ไขการขาดดุลการค้าโดยรวมของสหรัฐฯ ควรมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงปัจจัยภายในประเทศ มากกว่าการพึ่งพามาตรการภาษีนำเข้าเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม นโยบายภาษีของทรัมป์ยังคงดำเนินต่อไป แม้จะมีเสียงคัดค้านจากผู้นำธุรกิจและพันธมิตรระหว่างประเทศ โดยทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อปกป้องแรงงานอเมริกันและฟื้นฟูอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศ
_____________________
***มาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า***
18. หลังจากสหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้า ประเทศต่างๆ ก็ได้มีมาตรการตอบโต้ อย่างสหภาพยุโรป (EU) ได้กำหนดภาษีตอบโต้สินค้าสหรัฐฯ รวมมูลค่า 19.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นการตอบโต้ต่อภาษีของสหรัฐฯ หรือแคนาดาซึ่งได้กำหนดภาษี 25% สำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กจากสหรัฐฯ และเพิ่มภาษีสำหรับสินค้าต่าง ๆ รวมมูลค่า 20.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ
19. ส่วนจีน ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดและเป็นเป้าหมายใหญ่ของสหรัฐฯ มาตั้งแต่ต้น ได้กำหนดภาษี 34% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ และจำกัดการส่งออกแร่หายากบางประเภทไปยังสหรัฐฯ ซึ่งแร่เหล่านี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการผลิตของสหรัฐฯ พร้อมยื่นฟ้องสหรัฐฯ ต่อองค์การการค้าโลก (WTO) โดยระบุว่าการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เป็นการกระทำฝ่ายเดียวที่ละเมิดกฎการค้าระหว่างประเทศ
20. และหลังจากการประกาศขึ้นภาษีนำเข้า มีรายงานว่ามากกว่า 50 ประเทศได้ติดต่อสหรัฐฯ เพื่อขอเจรจาการค้า โดยไต้หวัน อิสราเอล อินเดีย และอิตาลี ได้ขอผ่อนผันหรือยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าของตน อย่างไรก็ตาม การเจรจาเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นตอนเบื้องต้น และผลลัพธ์ยังไม่แน่นอน
_____________________
***เหตุการณ์ประท้วงในสหรัฐฯ ***
21. นอกจากนี้ ภายในสหรัฐฯ ยังมีการประท้วงครั้งใหญ่ภายใต้ชื่อ “Hands Off!” ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป เพื่อต่อต้านนโยบายและการดำเนินงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และอีลอน มัสก์ ซึ่งดำเนินมาก่อนหน้านี้ ผสมโรงกับนโยบายการเพิ่มภาษีนำเข้าของทรัมป์ที่ทำให้ประชาชนกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ
22. ในประเทศมีการจัดการประท้วงกว่า 1,200 ครั้ง ครอบคลุมทุก 50 รัฐ โดยเมืองใหญ่ เช่น นิวยอร์ก วอชิงตัน ดี.ซี. ลอสแอนเจลิส และชิคาโก มีผู้เข้าร่วมหลายแสนคน ส่วนในยุโรปมีการประท้วงในเมืองสำคัญ เช่น ลอนดอน ปารีส เบอร์ลิน และแฟรงก์เฟิร์ต โดยมีผู้เข้าร่วมหลายร้อยคน เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับผู้ประท้วงในสหรัฐฯ โดยการประท้วงส่วนใหญ่เป็นไปอย่างสงบ โดยไม่มีรายงานการจับกุมหรือความรุนแรงที่สำคัญ
23. การประท้วงของชาวอเมริกันครั้งนี้เป็นการแสดงจุดยืนว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยในสิ่งที่ทรัมป์ทำ เพราะแม้ว่าทรัมป์จะได้รับเลือกตั้งเข้ามา แต่เมื่อเขากำลังใช้อำนาจแบบไม่ฟังใคร อย่างการขึ้นภาษีนำเข้าที่กระทบทุกประเทศ แม้แต่พันธมิตรของสหรัฐฯ เอง ซึ่งมันทำให้เศรษฐกิจทั้งโลกปั่นป่วน แล้วคนอเมริกันก็ต้องรับเคราะห์ไปเต็ม ๆ ประชาชนทุกคนก็พึงมีสิทธิ์ประท้วงเพื่อแสดงพลังและกดดันให้ทรัมป์ยกเลิกนโยบายนี้
24. แม้แต่ฝ่ายขวาในสหรัฐฯ เองก็ยังมีความกังวลในเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ โดย เท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกจากพรรคริพับลิกันแสดงความกังวลว่าภาษีที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่สงครามการค้าโลก ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และส่งผลเสียต่อพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2026
25. รวมไปถึงวุฒิสมาชิกจากทั้งสองพรรค คือ ชัค กราสลีย์ จากพรรครีพับลิกัน และ มาเรีย แคนท์เวลล์ จากพรรคเดโมแครต ได้ร่วมกันเสนอร่างกฎหมายที่กำหนดให้ประธานาธิบดีต้องแจ้งให้สภาคองเกรสทราบภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากกำหนดภาษี และต้องได้รับการอนุมัติภายใน 60 วัน ร่างกฎหมายนี้สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับการใช้อำนาจของทรัมป์ในการกำหนดภาษีโดยไม่ได้รับการตรวจสอบจากสภาคองเกรส
26. นอกจากนี้ เบ็น ชาปิโร นักวิจารณ์ฝ่ายขวายังได้เรียกนโยบายภาษีของทรัมป์ว่า “อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ” และ “ไร้เหตุผล” โดยชี้ว่าการมีดุลการค้าไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ไม่ดี และการขึ้นภาษีอาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภค ส่วนเบ็น โดเมเนช ผู้ร่วมก่อตั้ง The Federalist และผู้ร่วมรายการของ Fox News กล่าวถึงภาษีนำเข้านี้ว่า “ผมเกลียดภาษีเหล่านี้ ผมคิดว่ามันโง่” และเชื่อว่ามันจะไม่ช่วยเศรษฐกิจสหรัฐฯ
_____________________
***ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในฐานะมหาอำนาจที่อาจเปลี่ยนแปลง***
27. โดยสาเหตุที่ฝ่ายขวาบางส่วนไม่เห็นด้วยกับทรัมป์เรื่องนี้ เนื่องจากพวกเขาคาดหวังให้ทรัมป์ดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นการเผชิญหน้ากับจีนเพื่อปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กลับไปขยายการขึ้นภาษีไปยังประเทศพันธมิตร จนทำให้เกิดความกังวลว่า สหรัฐฯ อาจสูญเสียความน่าเชื่อถือและอิทธิพลในเวทีโลก เนื่องจากการดำเนินนโยบายดังกล่าวอาจทำให้ประเทศพันธมิตรหันไปสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศอื่น ๆ แทน
28. แต่หากทรัมป์ประสบความสำเร็จจริง ระเบียบเศรษฐกิจโลกที่สหรัฐฯ เคยมีบทบาทสำคัญในการก่อร่างสร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็อาจถูกพลิกผันอย่างสิ้นเชิง
เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เขาผลักดันนั้นมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูภาคการผลิตในประเทศ สร้างแหล่งรายได้ใหม่ ลดการพึ่งพาต่างชาติ และทำให้สหรัฐฯ กลับมาพึ่งพาตนเองได้มากขึ้นอีกครั้ง อาจทำให้สหรัฐฯ ผงาดขึ้นมาได้อย่างผ่าเผย
29. นี่จึงไม่ใช่เพียงนโยบายทางเศรษฐกิจ แต่คือ “การเดิมพัน” ครั้งใหญ่ของทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดี เดิมพันกับ “อนาคต” ของระเบียบโลก และ “มรดก” ทางการเมืองที่เขาต้องการทิ้งไว้ให้ประวัติศาสตร์จดจำ แม้หลายคนจะมองว่าสิ่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับผู้นำที่ยึดมั่นในวิสัยทัศน์ของตนเองอย่างไม่ลังเล นี่คือสิ่งที่เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้บรรลุผล
30. กระนั้น แม้เขาจะบรรลุผลตามที่ต้องการได้จริง ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ค้ำจุนโลกก็ต้องแลกมาด้วยความเสียหายเช่นกัน
เพราะโลกปัจจุบันเชื่อมโยงกันแน่นแฟ้นเกินกว่าจะให้ประเทศหนึ่งฉีกตัวเองออกจากระบบโดยไม่ส่งแรงสะเทือน และการใช้มาตรการที่ทำลายหลักการพหุภาคีและความร่วมมือ อาจทำให้สหรัฐฯ ต้องสูญเสียพันธมิตร เพราะมีความน่าเชื่อถือลดลง และอิทธิพลของสหรัฐฯ ในฐานะ “ผู้นำโลก” อาจเสื่อมถอยลงโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น แม้ชัยชนะในเชิงกลยุทธ์อาจดูเหมือนอยู่ในมือของทรัมป์ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายอาจเป็น “ชัยชนะลวงตา” ที่ต้องแลกด้วยต้นทุนระดับมหภาค ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การทูต และบทบาทระดับโลกของอเมริกาเอง
ทุกท่านคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้… ก็สามารถแสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ
#TWCNews #TWCUSA #TWC_Rama
0 Comment