การจะเข้าใจความขัดแย้งตุรกี-เคิร์ดในปัจจุบัน เราต้องศึกษาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ตุรกียุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เสียก่อน บทความนี้จะบอกถึงที่มาที่ไปของเรื่องราวบุญคุณความแค้นดังกล่าวนะครับ

เรื่องราวความขัดแย้งเคิร์ด-ตุรกีในปัจจุบันนี้ อาจเริ่มจากชายในรูปหรือ “มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก” ซึ่งเป็นบิดาของประเทศตุรกีในปัจจุบัน แต่ก่อนจะเอ่ยถึงเขาเราต้องขอปูพื้นก่อน

ชาวเคิร์ดเป็นอารยันเผ่าหนึ่ง ร่วมชาติพันธุ์กับเปอร์เซียอิหร่าน แต่ต่างกันที่เคิร์ดอาศัยบนภูเขา เปอร์เซียอาศัยในเมืองมีความรุ่งเรืองมากกว่า

ในยุคสงครามครูเสด ชาวเคิร์ดเคยมีวีรบุรุษชื่อซาลาดิน เขานำชาวมุสลิมรบชนะสงครามครูเสด ตั้งมหาอาณาจักรขึ้น ชื่ออาณาจักรอัยยูบียะห์กินเนื้อที่กว้างขวางในอียิปต์ ซีเรีย อิรัก ซาอุดิอาระเบีย เป็นผู้นำประชาชาติอิสลามในยุคหนึ่ง หลังยุคอัยยูบียะห์ชาวเคิร์ดมีอาณาจักรของตัวเองอีกหลายอาณาจักร แต่มักเป็นอาณาจักรเล็กๆ ไม่มีแห่งไหนเสมอเหมือนอัยยูบียะห์

ยุคปลายศตวรรษที่ 13 พวกเติร์กซึ่งเคยเป็นชนเผ่าทุ่งหญ้าอยู่นอกด่านกำแพงเมืองจีน และอพยพมาตะวันออกกลางก่อนหน้านี้สักพัก ได้รับศาสนาอิสลาม และก่อตั้งอาณาจักรใหม่ของตนชื่ออาณาจักรออตโตมัน

ออตโตมันประสบความสำเร็จอย่างสูง สามารถตีกรุงคอนแสตนติโนเปิลของอาณาจักรโรมันตะวันออกแตก สร้างอาณาจักรใหม่ของตนบนพื้นที่คาบสมุทรอนาโตเลียซึ่งเคยเป็นแดนฝรั่ง

ในยุคพีคนั้นออตโตมันเคยครองพื้นที่กว้างขวางในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ ยุโรปตะวันออก ยึดได้ดินแดนที่ต่อมาจะเป็นประเทศอิรัก ซีเรีย ซาอุดิอาระเบีย อิสราเอล อียิปต์ ลิเบีย อัลจีเรีย กรีก เซอร์เบีย ฮังการี และอื่นๆ อีกมาก

หลายร้อยปีที่ออตโตมันรุ่งเรืองพวกเคิร์ด อาหรับ กรีก อาร์มีเนีย และชนชาติต่างๆ ล้วนสยบอยู่ใต้มหาอาณาจักรนี้

ตลอดมาสุลต่านออตโตมันถือตนเองเป็นผู้นำของประชาชาติที่นับถืออิสลาม โดยแข่งบารมีกับอิหร่านที่อยู่ข้างๆ

ต่อมายุคสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) ออตโตมันซึ่งตอนนั้นกำลังเสื่อม ได้เข้าร่วมด้วยฝ่ายมหาอำนาจกลาง (มีเยอรมัน ออสเตรีย ออตโตมันเป็นแกนนำ) รบกับฝ่ายสัมพันธมิตร (มีอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และต่อมาก็มีอเมริกาเป็นแกนนำ)

ในตอนนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการริดรอนอำนาจออตโตมัน จึงไปยุยงชนชาติต่างๆ ที่เคยอยู่ใต้ออตโตมันให้เป็นกบฏ โดยเฉพาะพวกอาหรับ หากท่านเคยดูหนังเรื่องลอเรนซ์ ออฟ อาระเบีย ตัวลอเรนซ์นั้นคือทหารอังกฤษที่ทำการเกลี้ยกล่อมพวกอาหรับนั่นเอง ตรงนี้พวกเคิร์ดก็กบฏต่อออตโตมันหลายครั้ง แต่ถูกปราบได้

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงโดยชัยชนะของสัมพันธมิตร เหล่าประเทศผู้ชนะก็เริ่มมาคุยกันว่าจะจัดการกับออตโตมันอย่างไรดี (ไทยเป็นกลางในศึกนี้จนเมื่อเห็นฝ่ายสัมพันธมิตรได้เปรียบก็เข้าร่วม จึงพลอยชนะไปด้วย)

ประเทศพันธมิตรเจรจากันในสนธิสัญญาแซฟวร์ ตกลงตัดแบ่งออตโตมันเป็นส่วนๆ ส่วนที่เป็นของเติร์กนั้นเหลือก้อนเหลืองๆ นอกนั้นอังกฤษเอาไปบ้าง ฝรั่งเศสเอาไปบ้าง อิตาลีเอาไปบ้าง ให้กรีกบ้าง ให้อาร์มีเนียบ้าง ส่วนที่คิดว่าจะให้เคิร์ดก็มี คือส่วนทางตะวันออกเฉียงใต้มีเมือง Diyarbakir เป็นเมืองเอก

บ้านเกิดถูกกดขี่เพียงนี้ ชายชาติอาชาไนยมีหรือจะยอม นายพลมุสตาฟา เคมาล ปาชา ผู้เป็นวีรบุรุษที่เคยรบชนะฝ่ายสัมพันธมิตรในศึกกัลลิโปลีจึงได้ลุกขึ้นมากอบกู้ชาติ! (กัลลิโปลีเป็นหนึ่งในศึกสำคัญไม่กี่ศึกที่ออตโตมันเป็นฝ่ายชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1)

มุสตาฟานำชาวเติร์กพิชิตกรีก สยบฝรั่งเศส ปราบอาร์มีเนีย บี้อังกฤษ กอบกู้ดินแดนตุรกีคืนมาได้มากมาย ชนรุ่นหลังเรียกสงครามครั้งนี้ว่า “สงครามกู้เอกราชตุรกี” (Turkish War of Independence 1919-1923)

อาศัยชัยชนะดังกล่าวมุสตาฟาได้บีบฝ่ายพันธมิตรมาทำสนธิสัญญาใหม่ ชื่อสนธิสัญญาโลซานที่เป็นประโยชน์กับตุรกีมากขึ้น หนังสือ Time ปี 1923 ลงหน้าเขา เขียนหัวข้อว่า “Where is a Turk his own master?”

แน่นอนว่าสนธิสัญญาโลซานไม่มีการกล่าวถึงเคอร์ดิสถาน …เพราะถ้าตุรกียอมให้เคิร์ดเป็นอิสระ จะต้องเสียพื้นที่ทางตะวันออกซึ่งอุดมด้วยทรัพยากรไปมาก

มุสตาฟาตั้งสาธารณรัฐตุรกีขึ้น เขาเปลี่ยนตุรกีเป็นรัฐฆราวาส ล้มเลิกระบบสุลต่าน ทำลายอิทธิพลของศาสนา และเชิดชูชาตินิยมเติร์ก

มุสตาฟา เคมาลได้นามใหม่ในภายหลังว่า อตาเติร์ก หรือ “บิดาของชาวเติร์ก” เขาเชื่อว่า มีเพียงการใช้ชาตินิยม ไม่เน้นศาสนาจึงทำให้ตุรกีรุ่งเรืองได้

นอกจากนั้น เขายังชูชนชาติเติร์กเป็นใหญ่เหนือชาติอื่นๆ พยายามกลืนชาติในปกครองรวมทั้งชาติเคิร์ด กดขี่ริดรอนสิทธิต่างๆ รวมทั้งห้ามเรียนหนังสือในภาษาของตัวเอง จริงๆ คนนี้คล้ายจอมพล ป. ของไทย

ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐตุรกี พวกเคิร์ดถูกกดขี่ เข่นฆ่า บังคับย้ายที่อยู่ ให้ถูกกลืนชาติง่ายๆ รับใช้นโยบายเติร์กใหญ่

เรื่องเหล่านี้บ่มเพาะความแค้นมากมาย ทำให้พวกเคิร์ดขึ้นเขา เข้าป่า ก่อกบฏต่อต้านตุรกีมาจนปัจจุบัน

อีกทางหนึ่งการทำให้ตุรกีเป็นรัฐไม่เคร่งศาสนา ทำให้ตุรกีถูกพัฒนาไปในแนวทางเดียวกับชาติตะวันตก

ความไม่เคร่งของตุรกีนั้นถึงขั้นที่ว่า มีผู้หญิงเต้นระบำหน้าท้องแพร่หลาย มีบาร์เกย์รุ่งเรืองมากมายอยู่จนปัจจุบัน การจะเข้าใจตุรกี จึงต้องมองเขาแยกจากประเทศเพื่อนบ้านที่เคร่งศาสนาอย่างเด็ดขาด

ในปัจจุบัน ผู้นำตุรกีชื่อเออร์โดกันนั้นเป็นฝ่ายนิยมศาสนา และเริ่มนำความเคร่งศาสนากลับสู่สังคม

มีคนวิจารณ์ว่าเออร์โดกันพยายามนำตุรกีกลับสู่การเป็นผู้นำประชาชาติอิสลามเหมือนยุคออตโตมัน การที่ประเทศที่มีความเคร่งศาสนาต่ำดังตุรกีจะกลายเป็นผู้นำทางศาสนานั้นฟังดูเป็นเรื่องย้อนแย้ง

…แต่ตุรกีเข้ามาในจังหวะที่ซาอุฯ กำลังเสื่อม… เหลียวมองทั่วแผ่นดินไม่มีชาติอิสลามใดๆ มีอำนาจขึ้นมาเท่านี้อีก (ยกเว้นอิหร่าน ซึ่งก็ไม่นับเพราะมันเป็นชีอะห์ ต่างจากคนอิสลามส่วนใหญ่ที่เป็นสุหนี่) เวลาที่เออร์โดกันยกทัพปราบเคิร์ด คนมุสลิมส่วนหนึ่งเลยพลอยเชียร์ไปด้วย เพราะคิดว่าทำเพื่ออิสลาม (เคิร์ดส่วนใหญ่นับถืออิสลามนิกายสุหนี่ แต่กลุ่ม PKK ที่ต่อต้านตุรกีนั้นชูแนวทางสังคมนิยมไม่เน้นศาสนา)

จริงๆ เออร์โดกันเคยพยายามเจรจากับพวกเคิร์ดบ้าง แต่ไม่สำเร็จ ดังนั้นเพื่อความยิ่งใหญ่ของตุรกี เออร์โดกันยังคงต้องกดขี่ชาวเคิร์ดให้ยอมสยบเหมือนเดิม

พ้นจากเรื่องศาสนาแล้ว ความชอบธรรมที่ตุรกีจะปราบเคิร์ดเป็นเรื่องพูดยาก เพราะมันก็เหมือนถามว่ารัฐไทยมีความชอบธรรมในการปราบกบฏปัตตานีไหมนั่นแหละ

คือการกดขี่ชาวบ้านนั้นในอดีตเคยมีจริง ชาวบ้านปัตตานีอยากแยกตัว เพราะต้องการอิสระในการปกครองตนเองในทางหนึ่งก็ดูฟังขึ้น แต่แยกตัวไปแล้วจะเป็นผลดีจริงๆ หรือเปล่า? จริงๆ แล้วรวมกันอยู่มันดีกว่าหรือเปล่า?

โจทย์ของตุรกีจึงเป็น “ควรทำอย่างไรให้ชาวเคิร์ดในปกครองมีความร่มเย็นเป็นสุข ไม่คิดแยกตัวดังปัจจุบัน” แต่ดูสถานการณ์เหมือนความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะทำให้เรื่องนั้นห่างไกลจากความเป็นจริงเหลือเกิน…