สงครามรัสเซีย-ยูเครนเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ คือเมื่อทัพยูเครนสามารถไล่ตีเมืองต่าง ๆ บริเวณแนวรบภาคตะวันออกกลับมาได้อย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่สำคัญมากจนต้องจับตา เพราะมีความโดดเด่นทั้งทางยุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ และทางพิชัยสงคราม

กลที่ยูเครนนำมาใช้ในครั้งนี้เรียกว่า “โห่ร้องทักษิณ รุกตีบูรพา” เป็นกลยุทธ์เดียวกับกล “ส่งเสียงตะวันออกฝ่าตีตะวันตก” ซึ่งปรากฏในตำรา 36 กลยุทธ์ของจีน มาจากการทำทีว่าจะโจมตีจุดหนึ่ง แต่เวลาจริงกลับไปโจมตีอีกจุดหนึ่ง จนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

แน่นอนว่าการหลอกล่อให้กลนี้เกิดผลในสงครามจริงนั้นย่อมมีรายละเอียดซับซ้อน บทความนี้จะขอพาทุกท่านมาทำความเข้าใจชัยชนะในรอบนี้ของยูเครน นอกจากนั้นจะพูดถึงผลกระทบรุนแรงกว่าที่จะเกิดจากศึกนี้ด้วยครับ

สงครามที่ไร้ทางออก

ก่อนหน้านี้สงครามรัสเซีย-ยูเครนอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “น่าเบื่อ” คือหลังจากที่รัสเซียยึดภาคตะวันออกและใต้ของยูเครน และถอนกำลังออกไปจากภาคเหนือและกรุงเคียฟตั้งแต่ช่วงต้นสงคราม …แผนที่ของสงครามยูเครนก็ยังคล้ายๆ เดิม

เรียกได้ว่าสงครามยูเครนเข้าสู่ภาวะทางตัน ลักษณะของสงครามคือต่างฝ่ายต่างอ่อนล้าไม่มีแรงโหมตีฝ่ายตรงข้ามเหมือนต้นสงคราม เพราะทรัพยากรนั้นผลาญไปจนเหลือจำกัดมากแล้ว จึงไม่มีทีท่าว่าจะมีฝ่ายที่เอาชนะได้อย่างเด็ดขาดในเร็ววัน ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้ทำให้ฝ่ายตั้งรับได้เปรียบ

…ยูเครนและรัสเซียที่อ่อนล้าทั้งคู่จึงได้แต่ตรึงกำลังกัน ไม่สามารถปิดเกมอีกฝ่ายได้…

ข่าวสงครามยูเครนก็จะแผ่วๆ ลงไปเพราะไม่ค่อยมีอะไรเกิดขึ้นมาก ความโลดโผนดูน้อยลงเมื่อเทียบกับสงครามสายฟ้าแลบในช่วงต้นของสงคราม

อย่างไรก็ตาม ในเดือนกันยายน 2022 สด ๆ ร้อน ๆ นี่เองกลับมีข่าวว่ากองทัพยูเครนสามารถรุกคืบในภาคตะวันออกของประเทศได้อย่างต่อเนื่อง มันเกิดอะไรขึ้น?

การรุกฤดูร้อนของยูเครน

หากท่านยังจำกันได้ ก่อนหน้าการรุกฤดูร้อน ทางการยูเครนเคยเปิดเผยว่าพวกเขามีแผนการที่จะตีชิงเมืองเคอร์ซอน (Kherson) ทางทิศใต้คืนจากรัสเซีย

ซึ่งเมืองเคอร์ซอนนี้ก็มีความสำคัญเพราะถือเป็นเมืองหลวงระดับมณฑล (oblast) และเป็นเมืองที่ถูกรัสเซียยึดครองในช่วงต้นของสงครามที่ใหญ่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากมารียูปอล

ในตอนนั้นหลายฝ่ายเคยตั้งข้อสังเกตว่ายูเครนกำลังเผยไต๋ให้ฝ่ายรัสเซียรู้ โอกาสชนะย่อมมีริบหรี่ เพราะฝ่ายรัสเซียย่อมต่อสู้ป้องกันอย่างเต็มที่แน่นอน

แต่ข่าวนี้ก็ออกมาหลังข่าวที่ว่ารัสเซียต้องการ “กลืน” มณฑลเคอร์ซอนเป็นส่วนหนึ่งของตน มีการใช้หลักสูตรการศึกษาและสกุลเงินรัสเซียไปแล้ว และเตรียมการลงประชามติรวมกับรัสเซียไว้ล่วงหน้า ดังนั้นมันทำให้การพยายามบุกเคอร์ซอนเป็นเรื่องสมเหตุสมผล …ยูเครนย่อมไม่อยากเสียมณฑลนี้ไปอีก

พวกเขาย่อมไม่อยากรอให้ถึงฤดูหนาว (ปกติเริ่มเดือนธันวาคมในซีกโลกเหนือ) ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่ควรทำการรุกขนาดใหญ่ เพราะเคลื่อนทัพด้วยยานเกราะและการส่งกำลังบำรุงจะประสบกับความลำบากเพราะเส้นทางถูกปกคลุมด้วยหิมะ

นอกจากนี้การคิดรุกตีเคอร์ซอนยังเกิดหลังการที่ยูเครนสามารถโจมตีเป้าหมายสำคัญในแนวหลังของรัสเซียอาทิ คลังกระสุน, โรงเก็บอะไหล่, ศูนย์บัญชาการ รวมถึงสนามบิน ที่ส่งผลให้ความสามารถทำสงครามของรัสเซียลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

จนเกิดข่าวที่ว่ารัสเซียต้องติดต่อขอนำเข้ากระสุนปืนใหญ่จากเกาหลีเหนือ นั่นเป็นเพราะรัสเซียต้องการเติมกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกใช้ไปหลักหมื่นนัดต่อวัน แปลว่าถ้ารัสเซียสามารถเติมกระสุนปืนใหญ่ได้สำเร็จ สงครามก็จะกลับสู่การยิงปืนใหญ่แลกกันเหมือนเดิม

(ตรงนี้หลายคนดูถูกว่ารัสเซียไม่มีอาวุธแล้ว ต้องไปพึ่งเกาหลีเหนือหรือ ซึ่งจริงๆ รัสเซียยังผลิตอาวุธเองได้นะครับ แต่มันไม่พอสำหรับยิงถล่มกันในสเกลระดับนี้ ยิ่งเมื่อรัสเซียถูกตะวันตกคว่ำบาตร อุปกรณ์ต่างๆ ก็ใช้งานลำบากขึ้น มีมิตรประเทศที่ไหนพร้อมช่วยก็ต้องรับไว้ก่อน)

เหตุผลสำคัญอีกข้อคือการช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง เพราะอย่าลืมว่าฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามาทำให้ประชาชน รวมถึงอุตสาหกรรมและธุรกิจอื่นๆ ในยุโรปต้องรับภาระการใช้พลังงานมากขึ้น และการที่รัฐบาลของพวกเขาคว่ำบาตรรัสเซีย ในอีกทางก็คือการปฏิเสธพลังงานราคาถูกจากรัสเซียด้วย

พอราคาพลังงานแพงขึ้น ราคาทุกอย่างจะพุ่งตาม …ประชาชนที่ยากจนลงจะไม่พอใจ และเริ่มกลับมาทบทวนว่าควรสนับสนุนสงครามหรือไม่? (ยุโรปเองก็ได้มีการเตรียมแผนการรับมือเรื่องนี้ไว้แล้ว บางประเทศ เช่น ลัตเวีย สามารถตัดการนำเข้าแก๊สจากรัสเซียได้ร้อยละ 100 เปลี่ยนไปนำเข้าแก๊สธรรมชาติเหลว (LNG) ทางทะเลแทน ส่วนประเทศอื่นๆ เตรียมกลับไปใช้ถ่านหินแทน โดยเฉพาะหลังรัสเซียปิดท่อส่งแก๊สนอร์ทสตรีม 1 นานกว่ากำหนด แม้ว่าจะขัดกับแผนลดการใช้พลังงานฟอสซิล แต่สิ่งนี้ย่อมห่างไกลจากภาวะปกติ)

ดังนั้นมันเป็นเรื่องจำเป็นที่ยูเครนจะต้อง “ทำผลงาน” ให้ได้ก่อนหน้าหนาว เพื่อจูงใจรัฐบาลและประชาชนยุโรปให้เห็นว่าการช่วยเหลือยูเครนไม่ได้สูญเปล่า!

รวม ๆ กันแล้ว การรุกของยูเครนจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก! และพวกเขาก็พยายามทำให้ทุกคนเชื่อว่าสมรภูมิหลักจะอยู่ที่เคอร์ซอนทางใต้!

จริงคือเท็จ เท็จคือจริง 

สมรภูมิที่เราจะพูดถึงในเรื่องนี้มีสองสมรภูมิ คือสมรภูมิทางใต้มีเมืองเคอร์ซอนเป็นเมืองเอก กับสมรภูมิทางตะวันออกมีเมืองคาร์คิฟเป็นเมืองเอก

…ในการการดำเนินกลยุทธ์ขั้นต่อไป รัฐบาลและนายทหารระดับสูงของยูเครนได้ให้สารที่ขัดกัน คือมีการปฏิเสธว่ายูเครนนั้นไม่มีแผนตีมลฑลเคอร์ซอน เพราะขาดความพร้อมด้านกำลังในการเปิดศึกใหญ่ นอกจากนั้นตลอดช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยังยูเครนพยายามโจมตีสายส่งกำลังบำรุงต่างๆ รอบมลฑลคาร์คิฟเป็นการยึก ๆ ยัก ๆ น่ารำคาญ

ฝ่ายรัสเซียเห็นยูเครนสับขาหลอก ตีทั้งตะวันออกทั้งใต้ พวกเขามิได้นิ่งนอนใจจึงออกคำสั่งให้ถอนกำลังจากภาคตะวันออกบางส่วนที่การสู้รบแผ่วลงไปมาสนับสนุนศึกทางใต้ เพราะมันดูสมเหตุผลมากกว่า

และเมื่อรุกฤดูร้อนครั้งใหญ่ของยูเครนเกิดขึ้นจริง ก็ปรากฏว่ารัสเซียคาดถูก! พวกยูเครนใช้ยานเกราะและทหารราบบุกมาทางเคอร์ซอนจริง! พวกเขาห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ซึ่งยูเครนไม่สามารถทำผลงานได้มากเพราะเคอร์ซอนเป็นพื้นที่เปิด ทำให้รัสเซียยิงปืนใหญ่สนับสนุนได้ง่าย

…การรุกดังกล่าวจึงเป็นไปอย่างล่าช้าจนให้ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายมองว่ายูเครนกำลังต่อยกำแพงอยู่! กล่าวคือแม้จะทุ่มกำลังมากมายอย่างไร แต่ไม่มีทรงที่จะชิงเคอร์ซอนคืนได้หรอกนะ…

…แต่แล้วขณะที่รัสเซียชัวร์ว่ายูเครนจะตีเคอร์ซอน และย้ายกำลังคนจำนวนมากมาแนวรบด้านใต้แล้ว พวกเขาก็ต้องได้ข่าวว่ายูเครนส่งทหารข้ามแม่น้ำซิลเวอสกีไปยึดหมู่บ้านเล็กๆ ที่อีกฝั่งหนึ่งในสมรภูมิตะวันออก

…แต่มันก็แค่หมู่บ้านเล็กๆ รัสเซียจึงไม่สนใจมาก…

…พวกเขาไม่ทราบเลยว่าการกระทำดังกล่าวคือการหยั่งเชิงล่วงหน้าปฏิบัติการที่แท้จริงของยูเครน…

เพราะถ้าสังเกตดี ๆ การตีเคอร์ซอนของยูเครนนั้น เน้นยิงสะพาน ทำลายถนน …คล้ายไม่ได้ตีเพื่อเอาเมืองเคอร์ซอน แต่เพื่อตรึงกองทัพรัสเซียให้ต้องติดอยู่กับพวกตนต่างหาก!

จากนั้นในวันที่ 7 กันยายน ทัพยูเครนจำนวนมากซึ่งปรากฏมาจากไหนไม่ทราบ ได้เข้าตีตลอดแนวเชฟเชนโคเว-บาลาคิย่าทางตะวันออกซึ่งเปราะมากอยู่แล้ว

แต่พอยูเครนได้ชัยในชั้นแรกๆ พวกเขากลับแค่ล้อมเมือง แทนก็บุกเข้าเพื่อเผด็จศึก เป็นการยึก ๆ ยัก ๆ อีกจนหลายฝ่ายบอกว่าพวกเขาบุกระลอกแรกผิดพลาด สมรภูมิตะวันออกยังปลอดภัยอยู่

ตอนนั้นยูเครนส่งหน่วยเคลื่อนที่เร็วซึ่งประกอบด้วยยานเกราะและรถถังเข้าตีตัดอาวุธระยะไกลของรัสเซียจากแนวหลัง จนเราได้เห็นภาพของปืนใหญ่อัตตาจรรัสเซียถูกทำลาย และยุทโธปกรณ์อื่น ๆ ของรัสเซียถูกทิ้งเพื่อหนีเอาตัวรอด ดังนั้นนี่จึงเป็นการย้อนศรยุทธวิธีของรัสเซียที่ส่งหน่วยเคลื่อนที่เร็วผ่านเขตเมืองของยูเครนที่มีการป้องกันแล้วไปอ้อมตีแนวหลังเช่นกัน

อีกสาเหตุหนึ่งที่รัสเซียมองเกมผิดพลาดคือความเชื่อว่าแนวรุกของทางยูเครนต้องมาจากแนวรบด้านใต้ของเมืองอิเซียม ซึ่งยูเครนมีกำลังแน่นหนา

…ทว่าการรุกจริงของยูเครนกลับมาจากทางภาคตะวันออกที่ทั้งสองฝ่ายพยายามยื้อเเย่งมาเป็นเวลาหลายเดือน!

…ผลจากการยึก ๆ ยัก ๆ ยึกยักในยึกยักของยูเครนนั้นให้ผลดีจริง!

พวกเขาสามารถบุกเข้าใส่ในจุดที่รัสเซียอ่อนกำลังลงมาก ทุ่มกำลังเข้าทำลายกองทัพที่เหนือกว่าพวกเขาอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนฝ่ายรัสเซียต้องแตกกระเจิง!..

การตอบโต้ฉับพลันดังกล่าวเปรียบเสมือนการทำสงครามสายฟ้าแลบที่อาศัยจังหวะการเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อทำลายกำลังรบฝ่ายตรงข้าม การวางแผนผิดของรัสเซียที่รวมกำลังเพื่อป้องกันเมืองหลักอย่างอิเซียมและโวฟชานส์ ยังเปิดทางให้ยูเครนเข้าประชิดเมืองรอบ ๆ จนกลายเป็นว่ากองกำลังรัสเซียในเมืองตกอยู่ใต้วงล้อม

สุดท้ายยูเครนก็ตีเมืองอิเซียม และเมืองโวฟชานส์แตก โดยเฉพาะเมืองอิเซียมถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางของสายส่งกำลังบำรุงและศูนย์ปฏิบัติการขนาดใหญ่ของฝ่ายรัสเซีย ดังนั้นกองทัพรัสเซียที่ถูกบีบให้ล่าถอยอย่างรวดเร็วจึงทิ้งยุทโธปกรณ์ไว้เป็นจำนวนมาก

การยึดอิเซียมยังเพิ่มความได้เปรียบให้กับยูเครนเพราะพวกเขาสามารถใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นทางผ่านเข้าโจมตีเมืองซีวีโรโดเนสก์ที่ถูกยึดครองไปในช่วงเดือนมิถุนายน รวมถึงป้องกันปีกข้างของเมืองครามาตอสก์ซึ่งถูกใช้เป็นแนวตั้งรับหลักของสมรภูมิแนวรบตะวันออก ณ ปัจจุบัน

…และชัยชนะเดียวกันนี้ยังช่วย “ขจัดภัยคุกคามรอบคาร์คิฟ” ซึ่งเป็นเขตโรงงานอุตสาหกรรมหนักและโรงซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน ทำให้มีโอกาสได้รับอันตรายจากการโจมตีระยะไกลของรัสเซียน้อยลง

ทัพรัสเซียต้องถอยหนีเข้าสู่มณฑล (หรือที่ถูกสถาปนาเป็นประเทศ) ลูฮันสก์ นี่ถือเป็นความสำเร็จอย่างงดงามของยูเครน ซึ่งส่งผลทั้งทางยุทธวิธีและการเมืองอย่างที่ได้กล่าวไปในตอนต้น!

อนาคตสงครามยูเครน

ชัยชนะของยูเครนในรอบนี้ถือเป็นแรงกระเพื่อมที่สร้างผลกระทบได้พอสมควร จึงกลายเป็นข่าวใหญ่ อย่างไรก็ตามชัยชนะครั้งนี้ก็มิได้การันตีผลลัพธ์ของสงครามในระยะยาว

ฤดูหนาวกำลังมาถึงในเดือนตุลาคม น่าจะส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายกลับไปใช้ยุทธวิธีการตั้งรับและดวลปืนใหญ่ สงครามจะขับเคลื่อนยากขึ้น พวกเขาน่าจะมีเวลาเตรียมตัวปรับกลยุทธ์ใหม่

ยูเครนน่าจะไม่สามารถบุกไปได้ไกลกว่านี้มากนัก เพราะต้องจัดการกับกองกำลังรัสเซียที่ยังเหลือในพื้นที่ รวมทั้งสร้างแนวป้องกันที่เเน่นหนาพอสำหรับสายส่งกำลังบำรุงและดินแดนที่ยูเครนสามารถยึดกลับคืนมาได้ หากรัสเซียต้องการตีตอบโต้ในอนาคต

อย่างไรก็ตามเครื่องจักรโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซียย่อมได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้อย่างรุนแรง ทำให้ข่าวที่โปรโมตว่าสุดท้ายรัสเซียจะชนะโดยง่ายดูมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือลดลง สงครามครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่ารัสเซีย “ไม่ได้เก่งอย่างที่คิด” เพราะทั้งขาดแคลนทรัพยากรบุคคล ขาดแคลนอาวุธ (จนต้องไปยืมจากเกาหลีเหนือ) มีการคอร์รัปชันมาก จนหลายๆ อย่างดูไม่พร้อม

มีโอกาสที่ประชาชนรัสเซียไม่พอใจจนกลายเป็นกระแสการต่อต้าน เรื่องนี้อาจสั่นคลอนตำแหน่งของปูติน ที่จะต้องหาวาทกรรมอื่นๆ มารองรับการรุกของตน และความล้มเหลวครั้งนี้ (จนถึงปัจจุบันกระทรวงกลาโหมรัสเซียแก้ข่าวว่ารอบนี้รัสเซียมิได้แพ้แต่ “ถอยไปตั้งหลัก”)

เส้นทางของรัสเซียดูยากขึ้น พวกเขาอาจจะเลือกวิธียื้อไปยาวๆ หลายปีแล้วหวังว่าสายป่านของตัวเองจะยาวกว่าของยูเครนที่มีชาติตะวันตกหนุนหลัง

…พวกเขาอาจคิดว่าชาติตะวันตกที่ขาดพลังงานราคาถูกจะต้องแย่ก็เป็นได้

แต่ชัยชนะของยูเครนในรอบนี้ก็ได้แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าสงครามนั้นไม่ได้รบกันแค่ที่จำนวนทหารและอาวุธ แต่ยังมีปัจจัยเรื่อง “ขวัญทหาร”

จิตใจของผู้รักชาติที่สู้รบเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนของพวกตนนั้นย่อมทรงพลังกว่าจิตใจของผู้ที่รบในสิ่งที่ตนไม่เชื่อ

“ขวัญทหาร” นี้เองเป็นปัจจัยที่หักปากกาเซียนมาแล้วนักต่อนัก …และผมเชื่อว่ากลศึก “โห่ร้องทักษิณ รุกตีบูรพา” นี้คงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายเรื่องสุดท้ายในสงครามรัสเซีย-ยูเครนอย่างแน่นอนครับ