จากกรณีดังเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีตำรวจยศสูงรีดไถเงินผู้ต้องหาคดียาเสพติดด้วยความรุนแรงจนลงเอยด้วยการวิสามัญฆาตกรรมที่เป็นข่าวดังในไทย ทำให้ประเด็นการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจเป็นที่รับรู้ ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคม
…น่าเศร้าว่าปัญหานี้เกิดขึ้นในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ แม้แต่สหรัฐอเมริกา ก็มีข่าวตำรวจวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องหาออกมาเรื่อยๆ จนแง่หนึ่งกลายเป็นความเคยชิน น้อยคดีที่จะถูกนำมาพูดถึงอย่างจริงจังจนทำให้เกิดกระแสแบบที่เห็นกันอย่าง BLM
บทความนี้จะพาท่านผู้อ่านไปติดตามที่มาที่ไปของปัญหา พร้อมลำดับเหตุการณ์ตัวอย่าง และประเด็นที่น่าสนใจของปัญหานี้กันครับ…
ประวัติศาสตร์ตำรวจอเมริกา
หน่วยงานรักษาความสงบในอเมริกา มีความเชื่อมโยงกับการกดขี่มาตั้งแต่แรกเริ่ม
ก่อนหน้าจะมีหน่วยตำรวจทั่วไปในช่วงปี 1880 การดูแลความสงบเรียบร้อยเป็นหน้าที่ของหน่วยลาดตระเวนจับทาส (slave patrol) ซึ่งคอยตามจับทาสที่หลบหนี รวมทั้งปราบปรามทาสผิวดำเพื่อป้องกันการลุกฮือ
หลังสงครามกลางเมือง (ปี 1861-1865) ทาสในสหรัฐได้รับอิสระ หน่วยลาดตระเวนจับทาสได้ถูกยุบไป
อดีตสมาชิกบ้างไปเข้ากับพวกแบ่งแยกผิวอย่างคูคลักซ์แคลน และบ้างก็ไปทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยต่อ หรือก็คือ ไปเป็นตำรวจที่ตั้งหน่วยใหม่ๆ ในเวลานั้นนั่นเอง
ตำรวจในยุคแรกๆ มีภาพจำติดตัว 2 ประการ คือ ฉ้อฉลและป่าเถื่อน เพราะตำรวจมักอยู่ภายใต้การควบคุมของนักการเมืองท้องถิ่น
กิจกรรมของตำรวจในเวลานั้น มีทั้งการขู่ผู้ออกเสียงเลือกตั้ง, การก่อกวนคู่แข่งการเมือง และการรักษาผลประโยชน์ของนายทุน
เจ้าพนักงานก็มักผ่านการฝึกเพียงเล็กน้อย นิยมรับสินบนและใช้ความรุนแรง …นับได้ว่าเป็นยุค “ตำรวจการเมือง” อย่างชัดเจน
ต่อมาในยุคที่อุตสาหกรรมเฟื่องฟูขึ้น ตำรวจรับหน้าที่ปราบปรามการประท้วง โดยบรรดาพวกนายทุนต่างสนับสนุนให้ตำรวจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่โด่งดัง คือ การสังหารหมู่แลติเมอร์ (ปี 1897) ซึ่งตำรวจปะทะกับคนงานเหมืองไม่มีอาวุธ ทำให้คนงานเสียชีวิต 19 คน
ก่อนการจัดระเบียบตำรวจใหม่ในต้นศตวรรษที่ 20 รวมๆ ตำรวจยังมีพฤติกรรมฉ้อฉลและชอบใช้ความรุนแรงอยู่
บางทีตำรวจก็ร่วมรุมประชาทัณฑ์อเมริกันผิวดำในรัฐภาคใต้ โดยอ้าง “กฎหมายจิม โครว์” ซึ่งเป็นกฎหมายแบ่งแยกคนต่างสีผิวออกจากกัน
ในช่วงห้ามขายเหล้า (ปี 1919-1933) ตำรวจรับสินบนกันมือเติบ และบางทีเจ้าพ่อมาเฟียก็ใช้ตำรวจเพื่อกำจัดคู่แข่งด้วย
เหตุการณ์เหล่านี้ นำไปสู่การปฏิรูปสถาบันตำรวจเพื่อเพิ่มความเป็นมืออาชีพ มีการแยกตำรวจออกจากผู้นำการเมือง
อาชีพตำรวจเป็นระบบราชการประจำและมีสายบังคับบัญชาชัดเจนขึ้น มีการใช้ระบบรับสมัคร ฝึกฝน และให้รางวัลตำรวจใหม่
…อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิจารณ์ว่าตำรวจมีความรับผิดชอบต่อสังคมลดลง และวิธีการบางอย่างของตำรวจ เช่น การมีอำนาจสั่งหยุดค้นตัว (stop and frisk) ยังมีความก้าวร้าว ทำให้ประชาชนไม่พอใจตำรวจนัก
ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 กลุ่มผู้เรียกร้องความเสมอภาคทางเชื้อชาติในยุคขบวนการเคลื่อนไหวสิทธิพลเมือง (Civil Right Movement) และนักศึกษาที่เดินขบวนต่อต้านสงครามเวียดนาม มักตกเป็นเป้าการใช้กำลังรุนแรงของตำรวจ
จนถึงทุกวันนี้ข้อกล่าวหาการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจมักมีประเด็นใกล้ชิดกับสีผิว
…จากประวัติและเหตุการณ์ที่ผ่านมาจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมตำรวจอเมริกันจึงถูกมองว่าเพ่งเล็งคนผิวดำและเอื้อต่อคนรวยนั่นเอง
ยาเสพติดกับการก่อการร้าย
ประเด็นที่ผสมอยู่ในเรื่องการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจ ได้แก่ การทำ “สงครามยาเสพติด” และ “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย”
ในเรื่องนี้ ผู้ช่วยของอดีตประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ระบุว่ารัฐบาลต้องการผูกโยงคนขาวที่ต่อต้านสงครามเวียดนามกับกัญชา และคนดำกับเฮโรอีน เพื่อให้คนสองกลุ่มนี้กลายเป็นผู้ร้ายทุกวันผ่านข่าวภาคค่ำ…
แนวคิดนี้นำไปสู่กฎหมายใหม่ๆ ที่รุนแรงยิ่งขึ้น อย่างหมายค้นแบบไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า (no-knock warrant) และการกำหนดบทลงโทษขั้นต่ำ (mandatory sentencing)
นอกจากนี้ยังมีการติดอาวุธหนักให้แก่ตำรวจเพิ่มขึ้น เช่น การจัดตั้งหน่วยสวาท (SWAT – Special Weapons and Tactics)
โดยข้อมูลปี 2015 ระบุว่า แม้คนขาวและคนดำจะมีอัตราใช้สารเสพติดพอๆ กัน แต่มีคนดำติดคุกมากกว่าคนขาวถึง 6 เท่า
ในสถานการณ์ที่มีการใช้หน่วยสวาทบุกค้นบ้านที่ต้องสงสัยว่ามีการใช้ยาเสพติดโดยเฉพาะบ้านคนผิวดำและละติโน พบว่ามียาเสพติดจริงเพียง 35%
…ด้านกลุ่มสิทธิฯ ชี้ว่า นี่สะท้อนให้เห็นปัญหาการเลือกปฏิบัติด้วยเชื้อชาติและการใช้กำลังโดยไม่จำเป็น
หลังเหตุการณ์ 9/11 ปัญหาพฤติกรรมของตำรวจยิ่งเลวร้ายลง โดยสหประชาชาติมีรายงานว่า ได้เกิดกระแสการละเว้นโทษตำรวจ และทำให้กลไกเอาผิดตำรวจที่มีน้อยอยู่แล้วในสหรัฐอ่อนแอลงไปอีก
นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลรูปพรรณตามเชื้อชาติ (racial profiling) และถึงแม้จะมีการเปลี่ยนจากปืนจริงไปใช้ปืนช็อตไฟฟ้า (taser) แล้ว แต่ก็ยังเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 150 คนในระยะ 6 ปี
เหตุการณ์ที่มีชื่อเสียง
เหตุการณ์การใช้กำลังเกินกว่าเหตุนั้นมีมากมาย แต่ที่มีชื่อเสียง เช่น…
1) เหตุการณ์ทุบตีร็อดนี คิง (ปี 1991)
อเมริกันผิวดำ ร็อดนี คิง กับเพื่อนอีก 2 คนก่อเหตุเมาแล้วขับรถเร็วกว่ากฎหมายกำหนดเมื่อวันที่ 3 มี.ค. 1991 ในลอสแองเจลิส เมื่อตำรวจเรียกแล้วไม่ยอมหยุดรถ จึงได้ขับรถไล่ตาม เมื่อผ่านไปช่วงหนึ่ง มีรถตำรวจอีกหลายคันและเฮลิคอปเตอร์ตำรวจร่วมติดตามด้วย
หลังไล่ไปได้ 13 กิโลเมตรก็สามารถจับกุมตัวคิงได้
ทั้งสามผู้ต้องหาถูกสั่งให้นอนคว่ำหน้าลงกับพื้น คิงซึ่งออกรถมาทีหลังมีตำรวจ 4 นายรุมเข้ามาจับกุมและใส่กุญแจมือ คิงพยายามยืนขึ้นเพื่อไล่ตำรวจ 2 นายลงจากหลังทำให้ตำรวจอ้างว่าคิงขัดขืนการจับกุม
ในวิดีโอที่จับภาพได้นั้นมีภาพคิงถูกปืนช็อตไฟฟ้า คิงลุกขึ้นและวิ่งไปทางตำรวจนายหนึ่งซึ่งอาจเป็นการเข้าโจมตีหรือหลบหนี หลังจากนั้นตำรวจทุบด้วยไม้ตะบองหลายครั้ง
ในเหตุการณ์นี้มีการทุบด้วยไม้ตะบอง 33 ครั้งและเตะ 7 ครั้ง ผลการตรวจร่างกายในภายหลังพบว่าเขามีกระดูกหน้าผากแตก ข้อเท้าขวาหัก และมีรอยฟกช้ำและแผลฉีดหลายจุด
อัยการลอสแองเจลิสฟ้องคดีต่อตำรวจในเหตุการณ์ฐานใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
…คณะลูกขุนซึ่งไม่มีอเมริกันผิวดำเลยตัดสินว่าตำรวจไม่มีความผิด ทำให้เกิดการจลาจลในปี 1992 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 63 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 2,383 คน
2) เหตุยิงไมเคิล บราวน์ (ปี 2014)
ไมเคิล บราวน์ จูเนียร์ อเมริกันผิวดำวัย 18 ปี ถูกดาร์เรน วิลสัน ตำรวจผิวขาวยิงเสียชีวิตในเมืองเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2014 หลังก่อเหตุขโมยของ
คำให้การมีความขัดแย้งกัน ตำรวจอ้างว่าบราวน์โจมตีวิลสันก่อนเพื่อพยายามแย่งปืน ต่อมาบราวน์หลบหนี ทำให้วิลสันวิ่งไล่ติดตาม วิลสันเสริมว่าบราวน์หยุดแล้วหันมาทำร้ายเขา ตามมาด้วยการเปิดฉากยิง
แต่ญาติของบราวน์ที่อยู่ในเหตุการณ์อ้างว่าวิลสันเป็นคนเริ่มด้วยการคว้าคอบราวน์ผ่านหน้าต่างรถและขู่จะยิง เมื่อบราวน์หลบหนี บราวน์หันหลังไปยกมือยอมจำนนต่อวิลสัน แต่ตำรวจยิงใส่บราวน์ที่หลัง
รวมแล้วมีการยิงปืน 12 นัด รวม 2 นัดขณะแย่งปืนกันในรถตำรวจ นอกจากนี้พบว่าบราวน์ถูกทุบตีอีก 6 ครั้งทั้งหมดที่ด้านหน้าลำตัว
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในเมือง ซึ่งเคราะห์ดีที่ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 10 คน และตำรวจได้รับบาดเจ็บ 6 นาย
…ด้านคดีความต่อวิลสัน คณะลูกขุนตัดสินว่าวิลสันไม่มีความผิด…
3) เหตุการณ์ฆ่าจอร์จ ฟลอยด์ (ปี 2020)
จอร์จ ฟลอยด์ อเมริกันผิวดำวัย 46 ปี ถูกจับกุมฐานต้องสงสัยว่าใช้ธนบัตร 20 ดอลลาร์ปลอม เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2020 ในมินนีอาโปลิส รัฐมินเนโซตา
ตำรวจผิวขาว เดเร็ก โชวิน คุกเข่ากดคอของฟลอยด์เป็นเวลากว่า 9 นาทีแม้เขาถูกใส่กุญแจมือและจับนอนคว่ำแล้ว คำพูดสุดท้ายของฟลอยด์คือ “ผมหายใจไม่ออก”
เมื่อภาพถูกเผยแพร่ออกไป ตำรวจในเหตุการณ์รวม 4 นายถูกไล่ออก
ผลการชันสูตรพบว่าฟลอยด์ถูกฆ่า ส่วนโชวินได้รับการตัดสินว่ามีความผิดฐานทำให้คนตายโดยไม่เจตนาและไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน รวม 3 กระทง และเขาถูกตัดสินจำคุก 22.5 ปี
เหตุการณ์ฆ่าจอร์จ ฟลอยด์เป็นที่รับรู้ทั่วโลกทำให้เกิดการประท้วงต่อการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ, การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและการขาดความรับผิดชอบของตำรวจ โดยกลุ่มที่โดดเด่นในการประท้วงครั้งนี้ ได้แก่ แบล็กไลฟ์แมตเตอร์ (BLM)
…จากคดีทั้งสามนี้จะเห็นได้ว่ากระแสเรียกร้องให้เอาผิดกับตำรวจเพิ่งจะมาแรงในช่วงหลัง แต่ถึงกระนั้นบางคนก็ยังมองว่าข้อหาที่โชวินได้รับยังถูกผ่อนให้เบาลงอยู่ดี
วิเคราะห์สาเหตุ
สาเหตุของการใช้กำลังเกินกว่าเหตุนั้นมีการวิเคราะห์คาดเดาไปต่างๆ นานา ส่วนหนึ่งเชื่อว่ามาจากตำรวจได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายเป็นพิเศษ
ในคดีที่ตำรวจเป็นจำเลย หลักฐานมักจะมาจากตำรวจด้วยกันเท่านั้น และอัยการมักไม่ต้องการดำเนินคดีอย่างรุนแรงต่อตำรวจเพราะต้องการรักษาความสัมพันธ์ในหน้าที่การงานต่อไป จนกลายเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน เช่นเดียวกับที่ศาลมักเข้าข้างตำรวจมากกว่าพลเรือนเพราะมองว่าเป็น “คนดี”
สถิติเมื่อปี 2015 พบว่า ในช่วงปี 2005-2015 มีคดีความที่ตำรวจถูกตั้งข้อหาฆ่าผู้อื่นขณะปฏิบัติหน้าที่ 54 คดี ในจำนวนนี้ตัดสินแล้ว 35 คดี และมีตำรวจได้รับตัดสินว่าไม่มีความผิดรวม 21 คดี (60%)
ส่วนตำรวจด้วยกันยังมีแนวทางปฏิบัติที่เรียกว่า “กำแพงเงียบสีน้ำเงิน” (blue wall of silence) หมายความว่า ตำรวจมักจะไม่รายงานการกระทำผิดของตำรวจนายอื่น รวมทั้งไม่ขัดขวางหากตำรวจคนอื่นมีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดกฎหมาย
…ทั้งนี้เพราะตำรวจอาจมองว่าตัวเองเป็น “พี่น้อง” หรือครอบครัวเดียวกัน…
นอกจากนี้ ตำรวจอเมริกันยังมีการฝึกและอาวุธแบบทหาร (militarization) มากขึ้น รวมทั้งมีการว่าจ้างผู้ฝึกสอนเป็นทหารนาวิกโยธิน, หน่วยซีลและหน่วยปฏิบัติการพิเศษอื่นในต่างประเทศ
ด้วยเหตุนี้ทำให้ตำรวจมีการฝึกยุทธวิธีด้วยความกลัวและการป้องกันตัว มากกว่าการมีปฏิสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมกับชุมชน
…เมื่อตำรวจถูกฝึกมาให้คิดว่าสถานการณ์ธรรมดาๆ อย่างการเรียกรถหยุดก็อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขามีปฏิกิริยาตอบโต้มาอย่างนั้น
โดยเฉพาะปีหลังๆ ที่มีการจัดหายุทโธปกรณ์แบบกองทัพ เช่น การเสริมอาวุธหน่วยสวาท และรถถัง เอื้อให้มีการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุได้ง่ายขึ้น
มีการคาดการณ์ว่าตำรวจเกือบ 1 ใน 5 ของทั้งประเทศเป็นทหารผ่านศึก ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เอื้อต่อการใช้ความรุนแรงมากขึ้นทั้งสิ้น
ทางออกที่เสนอ
หลายฝ่ายเสนอให้แก้ไขปัญหาการใช้กำลังรุนแรงของตำรวจ เช่น การเปิดกล้องประจำตัวเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
มาตรการนี้ทำให้ในปี 2017 มีการจับได้ว่าตำรวจบัลติมอร์นายหนึ่งกำลังยัดของกลางใส่ผู้ต้องหา (เพราะไปปิดกล้องแต่กล้องยังเก็บภาพไว้ได้อยู่)
วิธีที่ 2 คือ การยกเลิกการ “ไม่ต้องรับผิดหากมีคุณสมบัติครบ (qualified immunity)” ซึ่งศาลสูงสุดสหรัฐเคยตัดสินว่าตำรวจไม่ต้องรับผิดในคดีความต่างๆ ยกเว้นแต่การกระทำนั้นละเมิดกฎหมายที่บัญญัติไว้ชัดเจน
…ในทางปฏิบัติ หลักการนี้ทำให้โจทก์ที่ฟ้องตำรวจชนะจะต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าศาลก่อนๆ เคยตัดสินว่าผิด
ตัวอย่างเช่น ศาลอุทธรณ์สหรัฐภาค 6 ในปี 2020 เคยตัดสินให้ตำรวจนายหนึ่งไม่ต้องรับผิดแม้ว่าจะยิงเด็กอายุ 14 ปีซึ่ง “ทิ้ง” ปืนบีบีขณะยกมือยอมจำนน แม้เมื่อปี 2011 ศาลเคยตัดสินว่า การยิงปืนใส่คนที่ “ลด” อาวุธปืนลูกซองเป็นความผิด
…ความแตกต่างเล็กๆ ข้อนี้ ทำให้ตำรวจที่ยิงเด็กรอดคดี…
การยกเลิกการไม่ต้องรับผิดเช่นนี้จะทำให้คณะลูกขุนมีอิสระในการตัดสินมากขึ้น และทำให้ตำรวจต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตนเองมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังที่กระแสแบล็กไลฟ์แมตเตอร์กำลังมาแรง และได้รับความสนใจจากผู้มีชื่อเสียงจำนวนมาก ทั้งดาราและนักกีฬาชาวอเมริกัน
กระแสที่กำลังมาแรงน่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีในการเดินหน้าสู่การแก้ไขปัญหาที่สะสมมาช้านาน…
0 Comment