ท่ามการระบาดครั้งเลวร้ายในประวัติศาสตร์ “วัคซีน” กลายเป็นของมีค่ายิ่ง เพราะมันแทบจะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นในทุกด้าน ทั้งในแง่ของสาธารณสุข, คุณภาพชีวิต, เศรษฐกิจ ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม วัคซีนส่วนมากมักอยู่ในมือของมหาอำนาจ ซึ่งแม้จะมีล้นเหลือ แต่ไม่ได้ใจบุญให้ใครฟรีๆ ในการนี้ วัคซีนจึงกลายเป็นเครื่องมือในการเจรจาทางการทูตและการต่อรองชั้นเยี่ยม

บทความนี้ จะเล่าความเป็นมาของการทูตผ่านวัคซีนตั้งแต่เริ่มต้น เรื่องราวในยุคสงครามเย็น ไปจนถึงเมื่อมีโควิด-19 ที่ทำให้ความต้องการวัคซีนพุ่งสูงกว่าครั้งไหนๆ ในประวัติศาสตร์ ซึ่งในบทความ เราจะเน้นไปยังจีนและสหรัฐฯ สองมหาอำนาจใหญ่ที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดในเวลานี้

จุดเริ่มต้นของการทูตผ่านวัคซีน

การใช้วัคซีนเป็นเครื่องมือทางการทูตนั้น เริ่มมาตั้งแต่เรามีวัคซีนชนิดแรกของโลกเพื่อรักษาฝีดาษ ของ “เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์” นายแพทย์ชาวอังกฤษในปี 1796

ช่วงเวลาไม่นานต่อมานั้น นโปเลียนมีแผนจะตีสหราชอาณาจักร ทำให้อังกฤษต้องหาทางแก้ไข ซึ่งหนึ่งในวิธีคือการส่งวัคซีนฝีดาษไปให้ฝรั่งเศส

ด้วยความพยายามทางการทูตอีกหลายประการ ทั้งสองชาติเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพกันในปี 1802 และหลังจากนั้น เจนเนอร์ก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของบัณฑิตสภาฝรั่งเศส (Institute of France) ในปี 1811 แสดงถึงความสำคัญของวัคซีนในฐานะเครื่องมือการทูตได้เป็นอย่างดี

การทูตวัคซีนยุคสงครามเย็น

ช่วงยุค 50s ที่โลกกำลังอยู่ในภาวะสงครามเย็นนั้น เกิดโรคโปลิโอระบาดหนักในหลายประเทศ โรคนี้ทำให้มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงลง จนระบบหายใจผู้ป่วยมักล่ม ทำให้พวกเขาต้องนอนใช้เครื่องช่วยหายใจ ไม่อาจกลับออกมาใช้ชีวิตปกติได้อีก

เนื่องจากผู้ป่วยส่วนมากมักเป็นเด็ก ส่งผลให้ทั้งตัวเด็กและพ่อแม่ผู้ปกครองหวาดกลัว จึงมีการเร่งพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคโปลิโอเกิดขึ้น

การทดลองของทางสหรัฐฯ นั้น ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิโปลิโอแห่งชาติสหรัฐฯ ที่ตั้งขึ้นในปี 1938 โดยประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ (รูสเวลต์เป็นอัมพฤกษ์ตั้งแต่เอวลงไปเพราะโรคนี้มาก่อนแล้ว โดยโปลิโออุบัติขึ้นครั้งแรกๆ ตั้งแต่ 30s)

นเวลานั้น มีนักไวรัสวิทยาสองคนที่โดดเด่น คือ โจนัส ซอล์ค แห่งมหาวิทยาลัยพิสต์เบิร์ก และ อัลเบิร์ต บี. ซาบิน แห่งมหาวิทยาลัยซินซินนาติ แข่งกันพัฒนาวัคซีน โดยซอลค์มุ่งไปที่ไวรัสเชื้อตาย ขณะที่ซาบินเน้นไปยังไวรัสเชื้อเป็น

ขณะเดียวกันทางโซเวียต ปรากฏว่าไม่มีใครคิดค้นวัคซีนได้ จนในปี 1956 มิคาอิล ชูมาคอฟ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโรคโปลิโอแห่งมอสโกกับภรรยาของเขาที่เป็นนักไวรัสวิทยา พร้อมด้วยลูกศิษย์ จึงฝ่ากระแสสงครามเย็นมาศึกษาวัคซีนที่สหรัฐฯ

หลังจากนั้น FBI ก็อนุญาตให้ซาบินไปยังเลนินกราดเพื่อช่วยโซเวียตผลิตวัคซีน

วัคซีนเชื้อตายของซอล์คประสบความสำเร็จในปี 1955 และวัคซีนเชื้อเป็นของซาบินมีการใช้มาตั้งแต่ปี 1961 กลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้โลกรอดพ้นจากโรคร้าย

แม้ซอล์คจะมีชื่อเสียงมากกว่า เพราะทำสำเร็จก่อน (ทั้งอยู่ที่อเมริกา) แต่วัคซีนแบบกินของซาบินก็แพร่หลายไปทั่วโลก …ถือว่าต้องขอบคุณวัคซีนที่ทำให้ขั้วตรงข้ามสองฝั่งของสงครามเย็นหันกลับมาคุยกันได้ แม้จะช่วงสั้นๆ ก็ตาม

Covid-19

ปลายปี 2019 เกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้นนาม “โควิด-19” หรือ “โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” ที่เรารู้จักกันดี

แม้ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าไวรัสเกิดมาจากไหนกันแน่ แต่ที่เรารู้ก็คือ การระบาดของโรคเริ่มต้นขึ้นที่เมืองอู่ฮั่นในประเทศจีน ซึ่งผู้ติดเชื้อมักมีความเชื่อมโยงกับตลาดสดที่มีการขายสัตว์ป่า ทำให้ผู้เชี่ยวชาญคาดกันว่าน่าจะติดมาจากสัตว์อีกที

ต่อมา ก็มีการค้นพบผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีน (เคสแรกยืนยันที่ประเทศไทยในวันที่ 13 มกราคม 2020) ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโลก สร้างความเสียหายให้เป็นอันมาก

ในวันที่ 11 มีนาคม 2020 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคระบาดใหญ่ หรือ Pandemic

แน่นอนว่าการคิดค้นวิธีรักษาและป้องกันโรคนี้เริ่มต้นขึ้นแทบจะทันที โดยโควิดนั้นมีต้นกำเนิดเดียวกับไวรัสซาร์ส ซึ่งมีผลการวิจัยรองรับอยู่แล้ว การทำงานตรงจุดนี้จึงง่ายกว่าโรคอุบัติใหม่อื่นๆ

นอกจากนี้ ด้วยความร่วมมือร่วมใจของผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทำให้มีบริษัทที่วัคซีนเสร็จออกมาภายในหนึ่งปี

…แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น…

ช่องว่างของวัคซีน

แม้จะมีวัคซีนเร็วแค่ไหน แต่การกระจายวัคซีนยังทำได้ล่าช้า และช่องว่างของวัคซีนระหว่างประเทศร่ำรวยและยากจนยังมีกว้างมาก

อ้างจากข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2021 ที่อังกฤษได้เซ็นสัญญาซื้อวัคซีนแล้วเกินกว่าจำนวนประชากร 2.2 เท่า, แคนาดาสามารถจัดหาวัคซีนตุนไว้ถึง 10 เท่าของจำนวนประชากร, ส่วนสหรัฐนั้นมีวัคซีนมากขนาดเหลือทิ้ง แต่ในเดือนเดียวกันนั้น เฮติเพิ่งได้รับส่งมอบวัคซีนลอตแรกจำนวน 500,000 โดสเท่านั้นเอง (เฮติมีประชากร 11 ล้านคน)

แม้ปัจจุบันจะมีโครงการ COVAX เพื่อบริจาควัคซีนให้ประเทศยากจน แต่มันก็มีข้อบกพร่องและมีงบสนับสนุนน้อยจนไม่สามารถแข่งขันกับประเทศมหาอำนาจในการศึกแย่งวัคซีนได้

นอกจากนั้นยังมีปัญหาเนื่องจากอินเดียซึ่งเป็นประเทศผู้ขายวัคซีนให้โคแวกซ์รายใหญ่สุดได้สั่งชะลอการส่งออก เพราะประสบภัยโรคระบาดหนัก ต้องเก็บวัคซีนไว้ฉีดคนในประเทศก่อน

ตอนแรก WHO เชื่อว่าจะมีอุปสงค์วัคซีนเพียงพอปลายปี 2021 แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันที่การผลิตวัคซีนยังล่าช้า คงต้องรอต่อไปอีก

“ช่องว่าง” ของความไม่เท่าเทียมนี้เอง กลายเป็น “ช่องว่าง” ให้ประเทศยักษ์ใหญ่ที่มีวัคซีนในครอบครอง นำมันมาเป็นเครื่องมือต่อรองกับประเทศเล็กๆ

เรื่องย้อนแย้งก็คือ จริงๆ ประเทศใหญ่ที่มีวัคซีนเหลือเฟือนั้นมักเป็นสมาชิก COVAX แต่เลือกจะบริจาคกับบางประเทศที่เป็นพันธมิตรกับตนอย่างเฉพาะเจาะจงมากกว่าเข้ากองกลาง เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการทูต

ผู้แพร่เชื้อ – ผู้ช่วยเหลือ

หลังโดนมองว่าเป็นประเทศต้นกำเนิดการระบาดของไวรัสโควิด จีนจึงต้องพยายามอย่างหนักเพื่อแก้ไขภาพลักษณ์ดังกล่าว โดยมีทั้งการใช้ไม้แข็งคือการเสริมกำลังทหารให้ดูแข็งแกร่ง และการใช้ไม้อ่อนหรือ soft power ต่างๆ ให้คนรู้สึกดีกับจีนมากขึ้น ซึ่งวัคซีนก็เป็นหนึ่งในนั้น

เริ่มแรกก่อนที่จะมีการพัฒนาวัคซีนได้สำเร็จ จีนได้ให้งบสนับสนุน WHO จำนวน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ พร้อมส่งบุคลากรและเครื่องมือทางการแพทย์ไปช่วยยุโรป และยังให้หลายประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกากับแคริบเบียนกู้เงินอีกพันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อให้เข้าถึงวัคซีนได้ง่ายขึ้น

ต่อมาเนื่องจากจีนควบคุมโควิดได้ดี ทั้งยังผลิตวัคซีนได้เอง จึงนำวัคซีนเช่นซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ไปแจกจ่ายแก่หลายประเทศ ทั้งในเอเชีย, แอฟริกา, อเมริกาใต้ รวมถึงยุโรป

ช่วงเดือนกรกฎาคม 2021 หลัง WHO ให้การรับรองวัคซีนจีนหลักทั้งสองตัว องค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีนกาวี (GAVI) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ดำเนิน COVAX ก็มาติดต่อทำสัญญาซื้อซิโนฟาร์มไป 170 ล้านโดส และซิโนแวคไป 350 ล้านโดสไปเข้าโครงการ ทำให้จีนกลายเป็นผู้บริจาควัคซีนสำคัญรายหนึ่ง

อเมริกาเดินเกม

ตอนแรกสุด รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่า จะบริจาควัคซีนให้ประเทศอื่นก็ต่อเมื่อมีวัคซีนเพียงพอต่อความต้องการของคนในประเทศแล้วเท่านั้น ทั้งยังมีการจองวัคซีนล่วงหน้าไว้หลายร้อยล้านโดส

นอกจากนี้ยังสั่งห้ามส่งออกวัคซีนหลายครั้ง คือ 18 ครั้งในสมัยทรัมป์ (และอย่างน้อย 1 ครั้งในสมัยไบเดน)

อย่างไรก็ตามเมื่อสหรัฐฯ เริ่มควบคุมสถานการณ์ได้ ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแนวทาง

ในยุคประธานาธิบดี โจ ไบเดน มีการผ่อนปรนการส่งออกวัคซีน และอาศัยจังหวะที่คนยังคลางแคลงใจในประสิทธิภาพของวัคซีนจีนเร่งบริจาควัคซีนให้ประเทศอื่นๆ รวมทั้งมอบเงิน 4 พันล้านเหรียญให้โครงการ COVAX

นอกจากนี้ ไบเดนยังให้ให้สัญญาในที่ประชุม QUAD (หรือกลุ่มพันธมิตรที่ตั้งมาต้านจีน ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐฯ, อินเดีย, ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย) ว่าจะร่วมกันบริจาควัคซีนให้ได้ 1 พันล้านโดสภายในปี 2022-2023

การประกาศในระหว่างประชุมต้านจีนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าทำไปเพื่อถ่วงดุลอำนาจ

ไทยและการทูตวัคซีน

ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ประเทศไทยถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญบนแผ่นดินใหญ่ มีความสำคัญทั้งชัยภูมิ, ทรัพยากร และกำลังพล ทำให้มหาอำนาจพยายามเข้ามายึดครองตั้งแต่อดีตช่วงยุคล่าอาณานิคม แต่ไทยก็เอาตัวรอดมาได้ทุกครั้งด้วยการผูกมิตรกับทุกประเทศ

พอมาถึงยุคปัจจุบันที่สหรัฐฯ และจีนต่างช่วงชิงความเป็นหนึ่งบนโลกทั้งด้านการค้า, การทหาร, เทคโนโลยี, ทรัพยากร ฯลฯ พวกเขายังมองไทยเป็นพันธมิตรสำคัญอยู่

ในช่วงการระบาดของโรคโควิดนี้ จีนเป็นฝ่ายนำหน้าไปก่อน เมื่อทางการไทยสั่งวัคซีนซิโนแวค จีนได้สมทบมาอีก 1 ล้านโดส และต่อมาก็ยังมีการบริจาคโดยตรงไปยังสภากาชาดไทยอีก 1 แสนโดสในเดือนก.ย. ที่ผ่านมา

ส่วนสหรัฐฯ ก็ได้เร่งเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับไทย พร้อมมอบความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขผ่านการทยอยบริจาควัคซีน mRNA ของไฟเซอร์

ตอนแรกปลายเดือนก.ค. สหรัฐฯ จะมอบให้ 1.5 ล้านโดส แต่นายไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทนฯ ได้กล่าวว่า สหรัฐฯ ตัดสินใจบริจาคให้อีก 1 ล้านโดส จากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้า โดยบอกว่า ต้องการช่วยทุกคน และทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นฟูโดยเร็ว

ครอบครัวเดียวกัน – ศูนย์กลางอาเซียน

นอกจากการการทูตด้วยวัคซีนแล้ว จีนยังมีการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น เพราะมองว่าตลาดไทยมีศักยภาพ เชื่อมต่อกับส่วนอื่นๆ ของอาเซียนได้ ซึ่งด้านเอกอัครราชทูตจีน “หานจื้อเฉียง” ได้กล่าวว่า “จีนไทยครอบครัวเดียวกัน” เพื่อเป็นการเน้นย้ำความสำคัญ

ขณะที่สหรัฐฯ ได้ดำเนินการสร้างสถานทูตใหม่ที่กรุงเทพฯ ด้วยงบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท และสร้างสถานกงสุลใหม่ในเชียงใหม่ด้วยงบประมาณกว่า 8,800 ล้านบาท พร้อมยกให้ไทยเป็น “ศูนย์กลางดำเนินการระดับภูมิภาค”

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นการขับเคี่ยวทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่เพิ่มขึ้นในไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ และเห็นได้ชัดว่าสหรัฐฯ มีความต้องการจะใช้ไทยเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของภูมิภาค คล้ายกับกรณีที่เกิดขึ้นในสงครามเย็น

สรุป

เราจะเห็นได้ว่า การใช้วัคซีนเพื่อการทูต มีมาเป็นนับร้อยปีแล้ว เพียงแต่จะเกิดขึ้นช่วงที่มีโรคระบาดเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม โควิด-19 มาเกิดในช่วงที่สหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นสองชาติมหาอำนาจสามารถผลิตวัคซีนได้เอง ต้องการช่วงชิงความเป็นหนึ่งในทุกๆ ด้านแข่งกันพอดี ทำให้การทูตผ่านวัคซีนในครานี้ เข้มข้นกว่าครั้งไหนๆ เพราะต่างฝ่ายต่างทุ่มทุนเพื่อหาพันธมิตร โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง