เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายกเทศมนตรีของเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ถูกประชาชนและผู้เชี่ยวชาญตำหนิ หลังจากที่บอกปฏิเสธการบริจาควัคซีนของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสันไปเพราะ “มันดีไม่พอเท่ากับไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา”
ถ้าดูผ่านๆ จะพบว่าสิ่งที่นายกเทศมนตรีพูดไม่ผิดนัก เพราะถ้าวัดประสิทธิภาพจากการทดสอบวัคซีนโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) แล้ว เมื่อฉีดครบโดส วัคซีนไฟเซอร์จะสามารถป้องกันการเกิดโรคได้ 95% โมเดอร์นากันได้ 94% ส่วนจอห์นสันฯ กันได้เพียงแค่ 66% เท่านั้น
แล้วทำไมคนต้องออกมาดราม่ากันล่ะ? พวกเขาน่าจะดีใจด้วยซ้ำไม่ใช่หรือที่นายกฯ อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ประชาชน?
…เหตุผลคือ ทั้งแพทย์และนักวิทยาศาสตร์หลายท่านพูดตรงกันว่า เราไม่สามารถดูเพียงตัวเลขแล้วตัดสินว่าวัคซีนตัวไหนประสิทธิภาพดีหรือไม่ดีได้
ทั้งนี้ผลประสิทธิภาพของแต่ละวัคซีนที่ออกมานั้น ทำโดยแบ่งผู้สมัครออกเป็น 2 กลุ่ม ครึ่งหนึ่งได้รับวัคซีนจริง ครึ่งหนึ่งได้เพียงยาหลอก ก่อนปล่อยพวกเขาไปใช้ชีวิตตามปกตินานนับเดือนแล้วกลับมาดูผล ซึ่งในกรณีของไฟเซอร์ มีคนติดโควิด 170 คน อยู่ในกลุ่มฉีดยาหลอก 162 คน กลุ่มฉีดวัคซีน 8 คน จึงเป็นที่มาของตัวเลข 95%
ถึงการทดลองวัคซีนโควิดทุกยี่ห้อจะเป็นรูปแบบนี้เหมือนกันหมด แต่นั่นไม่ได้แปลว่ามันมีบรรทัดฐานเดียวกันนะครับ… อย่างที่บอกว่าขั้นตอนหนึ่งในการทดลองคือการปล่อยคนไปใช้ชีวิตตามปกติ ตรงนี้แหละกลายเป็นปัจจัยที่ไม่มีใครคุมได้
ไฟเซอร์กับโมเดอร์นานั้น รับการทดลองวัคซีนในอเมริกาช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน ซึ่งจำนวนเคสยังทรงๆ ขณะที่จอห์นสันฯ ทดลองช่วงตุลาคมถึงปลายมกราคม โดยนอกจากอากาศหนาวเย็น ยังเป็นช่วงเทศกาล ทำให้ความรุนแรงของโรคสูงกว่าที่เคยเป็นมา
ดังนั้นผู้ร่วมทดลองที่ถูกปล่อยออกไปใช้ชีวิตปกติในช่วงดังกล่าว ก็มีสิทธิ์ติดโรคมากกว่าคนที่ทำการทดลองก่อนหน้านี้อยู่แล้ว อีกทั้งโรคโควิดยังมีสายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตามมาในตอนหลัง ก็ทำให้เลขค่าประสิทธิภาพของวัคซีนน้อยลงไปอีก
แม้ตัวเลขไม่โกหกก็จริง แต่สภาวะแวดล้อมที่ทำให้ได้ตัวเลขมานั้นอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบอกว่า จะให้เปอร์เซ็นต์เหล่านี้เชื่อถือได้มากกว่านี้ ก็ต้องนำวัคซีนทุกตัวมาทดลองแบบเดียวกันในช่วงเวลาเดียวกัน เมืองเดียวกัน กลุ่มบุคคลที่มีสุขภาพคล้ายกัน ถึงจะได้ตัวเลขประสิทธิภาพที่น่าเชื่อถือจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น การจะวัดแค่ผลที่ออกมาจากการทดลองเพียงอย่างเดียวก็จะถือว่าด่วนตัดสินไปไม่น้อย เรายังต้องติดตามผลบนโลกจริงของแต่ละวัคซีนต่อไปอีก ซึ่งอาจใช้เวลาอีกหลายปี กว่าผลดีผลเสียจะออกมาให้เราเห็นอย่างชัดเจน
ยกตัวอย่างใกล้ตัวเช่นวัคซีนซิโนแวคอันเป็นที่ถกเถียง เพราะผลป้องกันโรคตอนแรกออกมาน้อยจนน่าตกใจเพียง 50.4% แต่พอเวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบัน (พฤษภาคม 2021) ผลการวิจัยในหลายพื้นที่ก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เช่นอินโดนิเซีย ทางการติดตามผลทดลองจากผู้ฉีดวัคซีนไปแล้วพบว่า ผลป้องกันโรคตอนนี้สูงถึง 94% จนสื่อดังๆ ทั้ง Bloomberg, Business Insider, Nikkei ฯลฯ ต้องลงข่าว
นอกจากนี้ วัคซีนโควิดแต่ละยี่ห้อ ยังมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปตามวิธีการผลิตหลักๆ 4 แบบ ได้แก่…
ประเภทแรก: วัคซีนเชื้อตาย (Inactivated Vaccine)
วัคซีนแบบนี้เป็นวัคซีนประเภทที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งเราคุ้นเคยกันดี ผลิตจากเซลล์เชื้อโรคที่ตายหรืออ่อนแรงแล้ว ซึ่งในกรณีไวรัส ทำได้โดยการผ่านความร้อนหรือฉายรังสี เมื่อเชื้อตายก็จะแบ่งตัวไม่ได้ แต่ก็ยังมีสภาพสมบูรณ์พอให้ร่างกายรับรู้ว่านี่เป็นสิ่งแปลกปลอม ต้องสร้างภูมิคุ้มกันมากำจัด
ตัวอย่างของวัคซีนเชื้อตายที่มีใช้มาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันก็มีวัคซีนโปลิโอ วัคซีนพิษสุนัขบ้า วัคซีนตับอักเสบเอ
ข้อดี – เป็นกรรมวิธีที่ได้รับความเชื่อถือมาอย่างยาวนาน เหมาะสมกับผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ
ข้อเสีย – การผลิตวัคซีนชนิดนี้ต้องทำให้ห้องปฏิบัติการควบคุมความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 3 ทำให้ต้นทุนแพง ผลิตได้น้อย และใช้เวลามาก และเกิดความผิดพลาดได้หากเร่งรีบผลิตแล้วเชื้อไม่ตายจริง
วัคซีนในหมวดนี้ได้แก่ ซิโนแวคและซิโนฟาร์มของจีน ซึ่งคุณภาพอยู่ในระดับเดียวกัน ต่างกันเพียงบริษัทที่ผลิต ซิโนฟาร์มเป็นของรัฐวิสาหกิจ เน้นผลิตให้คนในประเทศ ขณะที่ซิโนแวคเป็นของเอกชน จึงเน้นส่งออก
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. ผู้เชี่ยวชาญเรื่องธุรกิจจีนได้กล่าวว่า เอาจริงแล้ว คนจีนก็คลางแคลงใจวัคซีนที่ประเทศตนมีจนรัฐบาลต้องออกมาทำแคมเปญเชิญชวนเหมือนกัน จึงไม่แปลกที่เราจะกังวลว่ามันมีประสิทธิภาพจริงไหม
ประเภทที่สอง: วัคซีนโปรตีน (Protein Subunit Vaccine)
โปรตีนเป็นส่วนสำคัญของสิ่งมีชีวิต ทุกเซลล์ในร่างกายเราประกอบด้วยโปรตีน ซึ่งทำให้ร่างกายของเราเติบโตหรือฟื้นคืนจากโรค
การผลิตวัคซีนด้วยวิธีนี้แยกย่อยออกไปได้อีก 2 แบบ เทคนิคแรกแตกหน่อออกมาจากวิธีวัคซีนเชื้อตาย โดยขณะที่วัคซีนเชื้อตายใช้ไวรัสทั้งเซลล์ วัคซีนโปรตีนจะเอาแค่บางส่วนของเชื้อนั้นมา
ในกรณีไวรัสโควิด ตัวไวรัสเป็นทรงกลมมีโปรตีนหนามที่ใช้แทรกเข้าไปในเซลล์ต่างๆ ของมนุษย์เพื่อแพร่เชื้อโรค ก็นำเพียงส่วนหนามนั้นมาทำวัคซีน
ส่วนวิธีการที่สอง ได้แก่นำพันธุกรรมของไวรัสในส่วนโปรตีน ไปเพาะกับไวรัสที่ไม่รุนแรงอื่นๆ หรือเพาะร่วมกับยีสต์ ให้โปรตีนเจริญเติบโตออกมาเป็นหนามคล้ายๆ ไวรัสโคโรนา แล้วนำโปรตีนตรงนั้นไปฆ่าเชื้อให้บริสุทธิ์ ก่อนผสมสารกระตุ้นภูมิต้านทานทำเป็นวัคซีน ซึ่งนี่เป็นกรรมวิธีเดียวกับไวรัสตับอักเสบบี
ข้อดี – ปลอดภัยมาก เพราะเป็นเพียงบางส่วนของเชื้อ ไม่ทำให้เกิดโรค
ข้อเสีย – หากร่างกายได้รับเชื้อจริงเข้ามา อาจสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่มากพอจะต่อต้าน เพราะเคยรับแต่ส่วนโปรตีน
บริษัทที่ทำไวรัสโปรตีนคือโนวาแวกซ์ของอเมริกา ซึ่งใช้วิธีการที่ 2 ผสมกับวิทยาการสารกระตุ้นภูมิต้านทานที่คิดขึ้นมาใหม่ ซึ่งแม้จะเป็นวัคซีนโปรตีนก็ได้ผลการป้องกันโรคค่อนข้างดีไม่แพ้วัคซีนตัวอื่น โดยทางโรงพยาบาลเอกชนในไทยกำลังเจรจาซื้อเข้ามา
ประเภทที่สาม: วัคซีนไวรัลเวคเตอร์ (Viral Vector Vaccine)
วัคซีนชนิดนี้สร้างโดยการนำสารพันธุกรรมบางส่วนของไวรัสใส่เข้าเชื้อพาหะ เมื่อมันเข้ามาในร่างกายสารพันธุกรรมนั้นก็จะจำลองโปรตีนของไวรัสโควิด ที่นำจะทำให้ร่างกายเรียนรู้ว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม หลังจากนั้น พอร่างกายเจอเชื้อของจริงเข้า ก็จะรับมือกับเชื้อได้โดยไม่มีอาการรุนแรง
ตรงจุดนี้จะต่างกับวัคซีนโปรตีนตรงที่ วัคซีนโปรตีนสร้างโดยการนำสารพันธุกรรมไปเพาะโปรตีน แล้วค่อยนำโปรตีนดังกล่าวมาฆ่าเชื้อแล้วทำวัคซีน ขณะที่วัคซีนไวรัลเวคเตอร์จะนำสารพันธุกรรมนั้นผสมกับไวรัสพาหะเป็นวัคซีนแล้วฉีดเข้าตัวเราเลย
เชื้อที่ใช้เป็นพาหะการผลิตวัคซีนชนิดนี้ มักอยู่ในกลุ่มอะดีโนไวรัส ซึ่งเป็นเชื้อไข้หวัดทั่วไป โดยเชื้อพาหะนี้เอง เรียกว่า “เวคเตอร์” ที่ในบริบทนี้แปลว่า “พาหะ” อันเป็นที่มาของชื่อวัคซีน (แต่บางคนก็เรียกวัคซีนอะดีโนไวรัสตามชื่อไวรัสพาหะที่ผสมไปเลย)
ข้อดี – คงทน ราคาถูก
ข้อเสีย – อะดีโนไวรัสอาจทำให้คนที่เคยเป็นหวัดจากไวรัสนั้นๆ สร้างภูมิคุ้มกันใหม่ได้ไม่เต็มที่ และอาจไม่ครอบคลุมโรคโควิด นอกจากนี้เวคเตอร์อาจมีผลกับพันธุกรรมในระยะยาว
วัคซีนที่ผลิตโดยวิธีนี้ได้แก่ จอห์นสันแอนด์จอห์นสันของอเมริกา แอสตราเซเนกาของอังกฤษ และสปุตนิกวีของรัสเซีย
ประเภทที่สี่: วัคซีน mRNA (mRNA Vaccine)
นี่เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ใช้ผลิตวัคซีนแก่สาธารณชนเป็นวงกว้าง
mRNA นั้นเป็นชื่อเรียกของสารพันธุกรรมชนิดหนึ่งใน DNA โดยเป็นส่วนที่มีหน้าที่บอกร่างกายให้สร้างโปรตีน ซึ่งวัคซีน mRNA จะทำหน้าที่เหมือนสูตรอาหาร ฉีดเข้าไปในร่างกายเพื่อบอกให้เซลล์ทั้งหลายทำอาหาร สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา
วัคซีน mRNA จะมีวิธีการผลิตกับวัคซีนเวกเตอร์ แต่แทนที่จะนำสารพันธุกรรมบางส่วนของไวรัสไปผสมกับเชื้อพาหะ ก็สร้างสารพันธุกรรมเลียนแบบ แล้วนำมันมาหุ้มด้วยเซลล์ไขมัน เหมือนลอกสูตรอาหาร แล้วใส่ซอง ส่งเข้าร่างกาย
ข้อดี – สังเคราะห์ได้ ไม่ต้องใช้ตัวไวรัสจริง แค่รู้โครงสร้างก็พอ ประหยัด รวดเร็ว
ข้อเสีย – เป็นวิทยาการแกะกล่อง ไม่รู้ว่าในระยะยาวจะเกิดอาการแทรกซ้อนอะไรหรือเปล่า จะทำให้ระบบการผลิตโปรตีนของเราเพี้ยนไปหรือไม่ …ไม่มีใครตอบได้
วัคซีนไฟเซอร์-ไบโอเอนเทค ที่เป็นความร่วมมือของบริษัทยาเก่าแก่นับร้อยปีของอเมริกาและกลุ่มนักวิจัยเยอรมัน วัคซีนโมเดอร์นาซึ่งเป็นบริษัทน้องใหม่สัญชาติอเมริกา รวมถึงวัคซีนที่กำลังพัฒนาโดยศูนย์วิจัยวัคซีนแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียก็อยู่ในกลุ่มนี้
จะเห็นได้ว่าวัคซีนแต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปตามวิธีการผลิต ซึ่งนอกจากที่สรุปไว้ด้านบน ก็ยังมีเคสที่มีผลข้างเคียงรุนแรง
จากรายงานของ CDC พบว่าในกลุ่มบุคคลช่วงอายุ 18 – 49 ปีที่ฉีดวัคซีนจอห์นสันฯ ในอเมริกานั้นเกิดลิ่มเลือดที่เป็นอันตรายต่อชีวิต และกลุ่มวัยรุ่นในอิสราเอลที่ฉีดวัคซีน mRNA ก็มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งต่างเป็นเคสที่น่ากลัว
หรือในฝั่งเอเชียเอง สำนักข่าว NHK ก็รายงานว่า ในญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลวหลังฉีดวัคซีนหลายสิบราย ทั้งยังมีคนเกิดอาการภูมิแพ้ขึ้นอีกนับร้อย
แต่นั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมากๆ น้อยกว่าระดับคนติดโควิดหลังได้รับการฉีดวัคซีนเสียอีก ซึ่ง CDC เองก็ยืนยันว่า คำนวณแล้วการฉีดนั้นยังประโยชน์มีมากกว่าโทษ และเชิญชวนให้ฉีดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะยี่ห้ออะไร
แม้แต่กรณีนายกเทศมนตรีเมืองดีทรอยต์ข้างต้นของบทความนั้น สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องออกมาขอโทษผ่านสื่อ และยอมรับวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสันในภายหลัง เพราะเขาพิจารณาดูแล้วต่อให้เปอร์เซ็นต์การป้องกันการติดโรคของจอห์นสันฯ จะน้อยกว่าไฟเซอร์และโมเดอร์นาก็จริง แต่วัคซีนทุกชนิดที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การรับรอง สามารถป้องกันการเจ็บป่วยอย่างหนัก และการเสียชีวิตได้ ดังนั้นการมีไว้จึงดีกว่าปฏิเสธเสียทีเดียว
ความเห็นนี้สอดคล้องกับมุมมองของนักวิชาการอาวุโสแห่งศูนย์สุขภาพมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ที่ว่าตัวเลขประสิทธิภาพในการลดการติดโรค อาจไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งอาการของโรคโควิดเป็น 6 ระดับขั้น ได้แก่…
1.) ไม่ติด ซึ่งเป็นขั้นที่ดีที่สุด
2.) ไม่มีอาการ
3.) มีอาการน้อย
4.) อาการรุนแรง
5.) อาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล
6.) ตาย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นขั้นที่แย่ที่สุด
แน่นอนว่าในการทดลอง ทุกคนก็หวังให้เกิดผลดีเท่าที่เป็นไปได้ แต่ในความจริง สิ่งที่วัคซีนโดยทั่วไปทำได้คือการกันไม่ให้เกิดอาการในระดับรุนแรง (ข้อ 4.) เป็นต้นไป ลดอาการโรคให้เหลือเพียงแค่ไข้ธรรมดา ส่วนการแข็งแรงจนไม่ติดเลยนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้
ซึ่งตรงจุดนี้ วัคซีนทุกยี่ห้อ ทุกรูปแบบการผลิตที่กล่าวมา เท่าที่มีผลการวิจัยจากหลายๆ สำนักออกมาตอนนี้ ต่างทำหน้าที่ของมันในการป้องกันอาการหนักได้เป็นอย่างดี จนอาจเรียกได้ว่ามีผล 100% เลยด้วยซ้ำ เพราะในช่วงที่ทุกบริษัทจัดการทดลองวัคซีน…
แต่แน่ล่ะ นั่นเป็นแค่ผลจากระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน ทั้งบนโลกแห่งความจริง เราก็ยังได้ยินเคสของคนที่ฉีดวัคซีนครบแล้วเสียชีวิตเพราะโควิดสายพันธุ์ใหม่ ยกตัวอย่างเช่นศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์รัทเกอร์ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วก็จริง แต่พอไปอินเดีย กลับติดโควิดสายพันธุ์ท้องถิ่นแล้วเสียชีวิตลง
แล้วถ้ามีข้อเสียให้เห็นแบบนี้ ตกลงเราควรฉีดไหม? เราจะเลือกอะไร? แล้วเราจะเชื่อใครดี?
หลายฝ่ายทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงองค์กรใหญ่ๆ ระดับนานาชาติไม่ว่าจะเป็น CDC หรือ WHO ต่างสนับสนุนทุกคนพยายามฉีดวัคซีนที่สามารถหาได้ และอยากให้ทุกคนรับวัคซีน เพราะเมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว ยังไงการมีภูมิคุ้มกันบ้างก็ดีกว่าไม่มีเลย …เป็นข้อสรุปได้ว่าไม่ว่าใครที่สภาพร่างกายอำนวยก็ควรฉีด ไม่ว่าจะเลือกยี่ห้ออะไร
ทั้งนี้รัฐบาลหรือระบบสาธารณสุขเองก็ควรมีตัวเลือกหลากหลายแก่ประชาชน ควรมีมาตรการรองรับผลกระทบจากวัคซีนอย่างเหมาะสมด้วย…
สมมติเช่นหากเกิดกรณีประชาชนส่วนใหญ่แพ้วัคซีนแบบที่มี จะมีแผนสำรองยังไง? จะมีวิธีการชดเชยบ้างไหม? เพราะเราก็ต่างเห็นตัวอย่างในต่างประเทศที่มีคนเกิดผลข้างเคียงต่างๆ กันมานักต่อนัก ทั้งต้องคิดเผื่ออนาคตด้วยว่าจะเรียกความเชื่อมั่นให้คนมาฉีดวัคซีนได้อย่างไร?
สุดท้ายแล้วสิ่งที่คุณควรทำหลังจากอ่านบทความนี้คือ การพยายามค้นหาข้อมูลอยู่เสมอ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องใหม่ และข้อมูลทั้งหลายยังไม่นิ่ง ทุกอย่างเปลี่ยนได้ตลอด เช่นตัวอย่างที่ผมยกขึ้นมานำเสนอในข้างต้น
คุณสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ทางการของ CDC,วารสารทางการแพทย์, สำนักข่าวหัวต่างๆ, เพจเฟซบุ๊คของแพทย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ออกมาให้ความรู้ …ซึ่งอย่ารับสื่อใดสื่อหนึ่งเพียงแหล่งเดียว แต่อ่านให้กว้างขวาง เพื่อนำมาวิเคราะห์ หาบทสรุปด้วยตัวเอง
…ขออวยพรให้พวกเราทุกคนผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปโดยสวัสดิภาพนะครับ…
0 Comment