เคยมีคำกล่าวว่าวันหนึ่งไทยเราเคยคิดที่จะไปเทียบกับ “สี่เสือเศรษฐกิจเอเชีย” อย่างไต้หวัน เกาหลีใต้ ฮ่องกงกับสิงคโปร์ แต่ทุกวันนี้เราต้องมาแข่งกับเวียดนาม และต่อไปเราอาจได้ไปวัดกับเพื่อนบ้านอย่างพม่า ลาวและกัมพูชา…

ประโยคข้างต้นแม้จะฟังดูขัดใจหลายคน แต่มันก็สะท้อนถึงข้อเท็จจริงว่าเศรษฐกิจหลายประเทศได้เติบโตในอัตราที่เร็วกว่าไทยมาก และประเทศที่เคยจนกว่าไทยก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องจนเสมอไป จนกลายเป็นหัวข้อถกเถียงว่าวันหนึ่งเศรษฐกิจเวียดนามจะมีโอกาสแซงไทยขึ้นมาก็ได้ และจะเกิดขึ้นเมือไหร่?

ในโพสต์นี้เรามาทำความเข้าใจการพัฒนาเศรษฐกิจเวียดนามในช่วงหลัง ดูว่าเวียดนามจะมีโอกาสแซงไทยได้ไหม? และบทเรียนที่ได้จากการกลับมาย้อนดูตัวเองกันครับ
____________________

1. ตัวเลขธนาคารโลกปี 2022 ระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีขนาดราว 495,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเศรษฐกิจเวียดนามมีขนาดราว 408,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ห่างกันอยู่ราว 87,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.22 ล้านล้านบาท แต่ความแตกต่างหนึ่งคือเศรษฐกิจเวียดนามโตเร็วกว่าไทยมาก โดยในช่วง 10 ปีหลังนี้ เศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ยเพียงปีละ 2% (รวมปีโควิดที่ติดลบ 6%) ส่วนเศรษฐกิจเวียดนามโตเฉลี่ยปีละ 6% หากความแตกต่างนี้ดำเนินต่อไปสักวันหนึ่งเศรษฐกิจเวียดนามก็จะมีขนาดโตแซงไทย…
____________________
🔴 *** ประวัติศาสตร์ ***

2. หลายท่านอาจจะยังสงสัยว่าทำไมเศรษฐกิจเวียดนามจึงโตวันโตคืน ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจประวัติศาสตร์เศรษฐกิจยุคใหม่กันนะครับ เริ่มจากยุคหลังสงครามเวียดนามที่เวียดนามจัดเป็นประเทศยากจนอันดับต้นๆ ของโลก …ในยุคนี้บางท่านอาจจะจำภาพคนเวียดนามที่อพยพไปยังประเทศที่เจริญกว่าเป็นอันมาก ที่มีคำว่า “Vietnamese Boat People” นะครับ

3. สาเหตุนั้นจากภาวะบ้านเมืองที่พังทลาย การวางแผนเศรษฐกิจจากส่วนกลางที่ทำให้ได้แต่งานที่มีผลิตภาพต่ำ รวมไปถึงการก่อสงครามกับกัมพูชาที่ทำให้ถูกตัดขาดความช่วยเหลือจากภายนอก (สหรัฐคว่ำบาตรเวียดนามตั้งแต่ปี 1975 ถึง 1994) ความช่วยเหลือส่วนใหญ่ล้วนมาจากสหภาพโซเวียตและค่ายคอมมิวนิสต์

4. ความช่วยเหลือจากโซเวียตหมดลงในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ส่งผลให้ทางการเวียดนามต้องมีการปรับตัวหลายอย่าง ซึ่งมีคำเรียกว่า “โด๋ยเม้ย” (Đổi Mới) หรือแปลว่า “บูรณะ” (renovate) รายละเอียดหลักๆ คือการเปิดเสรีเศรษฐกิจ เพิ่มบทบาทของภาคเอกชน รวมถึงเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ …เทียบง่ายๆ เหมือนกับการเปิดประเทศจีนสมัยเติ้งเสี่ยวผิงนั่นเอง (อย่างไรก็ตามมีคนวิจารณ์อยู่บ้างว่าจริงๆ แล้วภาคเอกชนเวียดนามเข้มแข็งเอง นโยบายหลายๆ อย่างของรัฐบาลเวียดนามฉุดรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยซ้ำ)

5. หลังการเปิดประเทศทำให้ภาคเอกชนของเวียดนามเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีบริษัทห้างร้านเปิดตัวกว่า 3 หมื่นแห่งในเวลาประมาณ 10 ปีแรก และการค้ากับต่างประเทศเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

6. อุตสาหกรรมต่างชาติแรกๆ ที่เข้ามาลงทุนในเวียดนามเป็นพวกเครื่องแต่งกาย เช่น ไนกีและอะดีดาส ซึ่งแน่นอนว่าปัจจัยที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเรื่องหนึ่งย่อมหนีไม่พ้นค่าแรงถูก

7. แต่ต่อมาก็มีพวกสินค้าอิเล็กโทรนิกส์อย่างบริษัทซัพพลายของแอปเปิล หรือบริษัทเทคโนโลยีอย่างไมโครซอฟต์ กูเกิลและเดลก็เข้ามาลงทุนด้วย จนปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกของเวียดนามเป็นสินค้าอิเล็กโทรนิกส์ถึงราว 40% ของทั้งหมด ในช่วงนี้เวียดนามมีเงินลงทุนจากต่างชาติคิดเป็นเฉลี่ยปีละ 6% ของจีดีพีเลยทีเดียว …ซึ่งมีบางคนเปรียบเทียบว่าเวียดนามช่วงนี้ก็คล้ายๆ กับไทยช่วงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งนั่นเอง

8. โดยเฉพาะช่วงหลังสงครามการค้าสหรัฐ-จีนตั้งแต่ปี 2018 มีบริษัทต่างชาติที่ผลิตสินค้าในจีนเพื่อนำเข้าสหรัฐกว่าครึ่ง มูลค่าราว 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ย้ายฐานการผลิตมาเป็นเวียดนามแทนเพื่อลดผลกระทบจากการเมือง

9. นอกจากนี้เวียดนามยัง “เนื้อหอมสุดๆ” มีผู้นำจากหลายชาติเข้าหาเพื่อลงทุน หรือแม้แต่ปีที่แล้วเวียดนามก็ยังได้ต้อนรับทั้งสีจิ้นผิงและโจ ไบเดนเป็นการบ่งบอกว่าชาติมหาอำนาจต่างอยากดึงเวียดนามมาเป็นพวกในศึกชิงความเป็นใหญ่ระดับโลกในรอบนี้ นับเป็นการเล่นบท “ไผ่ลู่ลม” หรือ “ผูกมิตรกับทุกชาติ” ที่หลายคนมักยกว่าประเทศไทยเคยทำได้ดี

10. มีการประเมินว่าเศรษฐกิจเวียดนามอาจเติบโตได้อีกในอนาคต โดยสื่อเวียดนามถึงกับระบุว่าอาจแซงไทยได้ภายในปี 2028 หรืออีกเพียง 4 ปีนี้เลยทีเดียว ส่วนนักวิชาการไทยก็ประเมินว่าเวียดนามอาจแซงไทยในอีกประมาณ 15-20 ปีด้วยอัตราเร็วประมาณนี้
____________________
🔴 *** ผลกระทบของเศรษฐกิจเติบโต ***

11. ดูเผินๆ เหมือนการเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนามจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็มีผลกระทบในเชิงลบอยู่ไม่น้อย เริ่มต้นจากเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตอย่างมากจากเงินลงทุนจากต่างประเทศ แปลว่าปัจจัยนอกประเทศที่ควบคุมได้ยากจะมีผลมากต่อเศรษฐกิจตามไปด้วย โดยเฉพาะถ้าอยู่ๆ มีเหตุให้บริษัทข้ามชาติไม่ลงทุนเพิ่มหรือถอนทุนออกจากประเทศไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม

12. ประการต่อมาคือแนวทางเศรษฐกิจเวียดนามเป็นแบบเน้นการส่งออกคล้ายๆ กับจีน นั่นหมายความว่าภาคการบริโภคและการลงทุนในประเทศยังไม่ค่อยเข้มแข็งเท่าไหร่ คนเวียดนามส่วนใหญ่ที่อยู่นอกภาคการผลิตและเทคโนโลยีอาจไม่ได้มีคุณภาพชีวิตดีเหมือนกับสถิติรายได้ต่อหัวเฉลี่ยทั้งประเทศ นอกจากนี้รายได้จากการส่งออกไม่ได้ตกถึงมือคนเวียดนามมากขนาดนั้น เกือบทั้งหมดยังคงอยู่ในบริษัทต่างๆ ที่เข้ามาลงทุนนั่นแหละ

13. เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งคือการเติบโตเพราะ “ค่าแรงถูก” ซึ่งเป็นตัวดึงดูดบริษัทต่างๆ ที่ต้องการลดต้นทุน ดังนั้นถ้าค่าแรงไม่ถูก บริษัทเหล่านั้นก็มีโอกาสย้ายไปประเทศอื่นอยู่ดี โดยตอนนี้ก็มีบริษัทต่างชาติไม่น้อยเริ่มมองว่าจะย้ายไปลาว กัมพูชาหรือพม่าแล้ว นอกจากนี้ยังมีผลต่อเรื่อง “ผลิตภาพต่ำ การศึกษาต่ำ” ไปด้วย กลายเป็นกดให้คนไม่น้อยไม่ได้ลืมตาอ้าปากไป โดยมีตัวเลขในปี 2023 ว่าค่าจ้างเฉลี่ยในโรงงานอยู่ที่ราว 220 ดอลลาร์สหรัฐ (7,800 บาท) ต่อเดือนเท่านั้น!

14. ส่วนคนเวียดนามรุ่นใหม่ไม่น้อยก็ไม่ได้อยากเข้าทำงานในบริษัทลักษณะนี้ ทั้งทำงานหนักไม่คุ้มเหนื่อยและสภาพการทำงานที่ไม่ดี จนเกิดกระแสนอนราบหรือ “ถ่างผิง” ของตัวเองคล้ายๆ กับในจีนเช่นกัน บางส่วนเลือกที่จะไปทำงานต่างประเทศแล้วส่งรายได้กลับมา ซึ่งกลายเป็นว่าทางการเวียดนามก็สนับสนุนด้วยพอดี กลายเป็นว่านอกจากจะส่งออกสินค้าและบริการแล้ว ยัง “ส่งออกคนงาน” อีกด้วย
____________________
🔴 *** ดูเขาแล้วย้อนดูตัว ***

15. ที่ผ่านมาประเด็นเรื่องเศรษฐกิจเวียดนามจะแซงไทยเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอยู่บ้าง บางคนรู้สึกว่าผู้ชี้ประเด็นนี้เป็นการ “ด้อยค่า” ประเทศตัวเอง และบางคนโยงไปวิจารณ์ทางการขณะนั้นว่าบริหารประเทศได้ไม่ดี จนกลายเป็นหัวข้อชวนคนมาทะเลาะกันระหว่างคนที่ชอบกับไม่ชอบรัฐบาลในขณะนั้นเสียมากกว่า

16. แต่ความจริงก็ยังคงเป็นเช่นเดิมว่าเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตอย่างรวดเร็วและตอนนี้ไม่ได้ห่างจากไทยมากขนาดนั้นแล้ว ดังนั้นจึงน่าจะเป็นคำถามให้ขบคิดกันว่าทิศทางของไทยควรไปทางไหนต่อหากจะแข่งขันกับเวียดนามได้?

17. ปัจจัยดึงดูดที่ไทยเคยใช้มาก่อนนั่นคือ “ค่าแรงถูก” แต่ทุกวันนี้เราไม่เห็นว่ามีพรรคใดที่เห็นด้วยให้ลดค่าแรงเพื่อให้แข่งขันกับต่างชาติได้แล้ว ดังนั้นหากจะพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปก็จะต้องเป็น “การเพิ่มผลิตภาพ” ซึ่งแบ่งเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีและการพัฒนาคน คำถามคือไทยมีศักยภาพมากขนาดไหน? ตอบโจทย์คนที่อยากพัฒนาฝีมือและโอกาสทางอาชีพของตัวเองเพียงพอแล้วหรือยัง?

18. นอกจากนี้ยังรวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ยังฉุดรั้งความสามารถในการแข่งขันของไทยอยู่ ซึ่งประธานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเคยให้ความเห็นว่าสิ่งที่ควรแก้ไข เช่น อัตราการเกิด ปัญหาคอร์รัปชัน กฎหมายที่ล้าสมัยและหยุมหยิม ค่าโลจิสติกส์สูง หรือปัญหาสมองไหล พร้อมชูหลักนิติธรรมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเสมอภาค ความโปร่งใสและความเป็นธรรมในการแก้ไข

และทั้งหมดนี้คือภาพรวมของเศรษฐกิจเวียดนามนะครับ แน่นอนว่าเศรษฐกิจของประเทศที่ตามหลังเรามาติดๆ ยอมไม่พ้นที่จะเกิดการเปรียบเทียบแข่งขันกัน …หลักสำคัญของประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าเวียดนามจะแซงไทยหรือไม่และเมื่อไหร่ แต่คำถามจริงๆ คือไทยจะเอาอย่างไรต่อจากนี้ และสามารถปรับปรุงพัฒนาให้ดีกว่าทุกวันนี้ได้อย่างไรมากกว่า

#TWCSummary #TWCAsia #TWC_Cheeze