ตามที่ผมได้เขียนเรื่องราวต่างๆ ในซีรีย์เกาหลีเหนือมาหลายตอน บทความนี้จะเป็นบทสรุปซึ่งวิเคราะห์ว่า “จริงๆ คนเกาหลีเหนือคิดเช่นใดกับสิ่งที่เป็นอยู่?” โดยมุ่งตีประเด็น “วรรณะ” ในสังคมของเขานะครับ

คุณเคยสงสัยไหมว่า ชาวเกาหลีเหนือคิดอย่างไร ในการใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสิ่งที่เป็น?

คืนหนึ่งระหว่างเที่ยวเกาหลีเหนือ ผมได้นั่งดื่มกับไกด์ในบาร์ของโรมแรม

ในตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวฝรั่งสามคนเดินเข้ามาในบาร์ เอากล้องและขาตั้งกล้องมาตั้งถ่าย (ตัวกล้องจริงๆ ไม่ใหญ่ เพราะถ้าใหญ่กว่านั้นอาจไม่ได้รับอนุญาตให้เอาเข้าประเทศ แต่รวมๆ อุปกรณ์ทั้งหมด อลังการอยู่) น่าจะตั้งใจมาถ่ายสารคดีจริงจัง

บาเทนเดอร์และคนเกาหลีในร้านมองสิ่งนี้ด้วยสายตาเบื่อหน่าย แต่ไม่มีใครพูดอะไร

ดูก็รู้ว่าพวกเขาอึดอัด…

ที่นี่โปสเตอร์ทุกใบคือโปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อ

การที่ประเทศนี้ไม่มีภาคเอกชน แปลว่าตั้งแต่เกิดจนตายประชาชนทุกคนล้วนเป็น “ข้าราชการ”

ผู้ลี้ภัยเกาหลีเหนือให้การว่า ที่นี่ทุกคนวิจารณ์รัฐบาลเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องคุยในหมู่ครอบครัวที่สนิทกันจริงๆ เท่านั้น …พวกเขาไม่กล้าพูดกับคนนอก เพราะคนๆ นั้นอาจจะเป็นสายลับซึ่งเอาเรื่องของเขาไปฟ้องรัฐบาล เพื่อแลกผลประโยชน์บางอย่าง

เหตุผลหลักๆ ที่ชาวเกาหลีเหนือมากมายหลบหนีออกจากประเทศ เพราะเขาเชื่อว่ามี “ระบบวรรณะ” อยู่ในสังคมของเขา

ความเชื่อนี้มาจากคำถามมากมาย เช่น:
“ฉันทำงานเก่งกว่าอีกคน ทำไมคนนั้นถึงได้เลื่อนตำแหน่งก่อนฉันล่ะ?”
“ฉันเรียนเก่ง ทำไมฉันถึงเข้าโรงเรียนระดับสูงไม่ได้?”
“ทำไมครอบครัวฉันถึงต้องอยู่ในเมืองชนบท และฉันย้ายไปอยู่ที่อื่นไม่ได้โดยอิสระ?”
“ที่นี่มีสวัสดิการการแพทย์ฟรีก็จริง แต่ทำไมโรงพยาบาลที่ฉันใช้ได้จึงชำรุดทรุดโทรม ขาดทั้งยาและหมอ ไม่เหมือนโรงพยาบาลที่คนอีกกลุ่มได้ใช้?”

คำถามทั้งหมดทำให้ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่เชื่อว่าที่นี่มีการแบ่งคนเป็นสามชนชั้น คือ ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง และ “การเกิดในครอบครัวไหน?” มีผลต่อเรื่องชนชั้นแน่ๆ

พวกเขาเรียกระบบชนชั้นนี้ว่า “ซองบุน” ทั้งยังเชื่อว่ามันมีผลต่ออนาคตของคนๆ หนึ่งมาก โดยจะบอกว่าคนๆ หนึ่งสามารถอยู่เมืองอะไรได้บ้าง? การงานของเขาสามารถเลื่อนระดับสูงสุดได้แค่ไหน? และเขาจะได้ใช้สวัสดิการในระดับใด?

แต่รัฐบาลเกาหลีเหนือปฏิเสธเรื่องนี้มาตลอด บอกว่าทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ เนื่องจากเรื่องทุกอย่างเป็นการคาดเดา ดังนั้นไม่มีใครรู้อย่างชัดเจนหรอกว่า ระบบชนชั้นมีจริงหรือไม่ หรือมันทำงานอย่างไร?

โชคดีที่ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ มีผู้ลี้ภัยคนหนึ่งเคยทำงานอยู่ในหน่วยต้องจัดการเรื่องเหล่านี้บ่อยๆ ทำให้เราพอทราบการทำงานของระบบดังกล่าวจากคำให้การของเขา

คำให้การของเขาน่าทึ่งมาก: เกาหลีเหนือไม่ได้แบ่งคนออกเป็น 3 ชนชั้นตามที่หลายคนเข้าใจ แต่แบ่งออกเป็น 51 ชนชั้น

ระบบชนชั้นถูกสร้างขึ้น และพัฒนามาเรื่อยๆ ตั้งแต่สมัยคิมอิลซุง เกิดจากยุคที่บ้านเมืองยังไม่สงบราบคาบ รัฐบาลรู้สึกว่าประชาชนบางพวกไว้ใจได้ แต่บางพวกไว้ใจไม่ได้ ควรได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน

ใน 51 ชนชั้นนี้สามารถแบ่งได้เป็น 5 วรรณะใหญ่ คือ “พิเศษ, แกนกลาง, ธรรมดา, ซับซ้อน, และ ศัตรู”

  • วรรณะ “พิเศษ” มีจำนวนน้อย เป็นบุตรหลานของเหล่าทหารหาญที่ช่วยคิมอิลซุงสร้างประเทศมา
  • วรรณะ “แกนกลาง” มีจำนวนเยอะที่สุด มาจากพวกบุตรหลานของชนชั้นคนใช้แรงงาน และชาวนา ซึ่งได้ประโยชน์จากการที่คอมมิวนิสต์มาช่วยปลดปล่อย จึงควรมีความภักดีมาก
  • วรรณะ “ธรรมดา” มาจากบุตรหลานของชนชั้นกลาง และพวกที่ไม่ได้รับประโยชน์จากระบบคอมมิวนิสต์นัก จึงไม่น่าภักดี แต่ก็ไม่น่าต่อต้าน พวกนี้จะถูกเหยียดชนชั้นบ้างแต่ไม่มาก
  • วรรณะ “ซับซ้อน” คือ บุตรหลานของคนที่เสียประโยชน์จากระบบคอมมิวนิสต์ เช่น พวกนายทุน ผู้ดีมีเงิน หรือพวกที่เคร่งศาสนา เช่นบาทหลวง พระสงฆ์ พวกนี้จะถูกกดขี่ให้ไปอยู่ในเมืองที่มีสภาพแย่
  • วรรณะ “ศัตรู” เกิดจากบุตรหลานของคนที่จะต้องเกลียดระบบแน่ๆ เช่นมีปู่เคยช่วยเกาหลีใต้รบมาก่อน หรือเป็นนักโทษการเมือง พวกนี้จะถูกเหยียดหยามมากที่สุด พูดง่ายๆ ว่าเป็นจัณฑาล

การตัดสินว่าใครอยู่วรรณะไหนนั้นมาจาก “คะแนน” ประชาชนทุกคนจะมีเกจวัดคะแนนอยู่สองเกจ คือเกจ “ชาติกำเนิด” และ เกจ “ฐานะ”

เกจชาติกำเนิดนั้นกล่าวไปแล้ว ส่วนเกจฐานะมักมาจากความสำคัญของ “อาชีพ” ซึ่งคนๆ นั้นประกอบ เช่นเป็นหมอ เป็นครู เป็นทหาร เป็นชาวนา

ในจำนวนนี้อาชีพสูงสุดคือ “สมาชิกพรรคกรรมกร” ซึ่งเป็นพรรคหนึ่งเดียวที่ปกครองประเทศอยู่

แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ “การได้พบท่านผู้นำ” ประชาชนคนใดได้คุยกับท่านผู้นำเกินยี่สิบนาที หรือได้ถ่ายรูปกับท่านผู้นำออกสื่อ มีสัญญานแสดงว่าท่านผู้นำโปรด จะได้เพิ่มคะแนนในเกจ “ฐานะ” อย่างสูงสุดๆ

ดังกล่าวแล้ว ค่าคะแนนจากทั้งชาติกำเนิด และฐานะจะผสมรวมกันบอกว่าคุณสามารถใช้สวัสดิการระดับใด และมีสิทธิก้าวหน้าในชีวิตมากเพียงใด

เช่นถ้าคุณมาจากวรรณะต่ำแล้วอยากเป็นตำรวจ คุณอาจเป็นได้ไม่ยาก แต่เป็นได้แค่ตำรวจบ้านนอกนะ คนที่จะเข้าหน่วย “ตำรวจลับ” ได้จะต้องมีญาติพี่น้องนับไปหกชั่วโคตร อยู่ใน “วรรณะสูง” เท่านั้น

วรรณะนั้นเลื่อนขึ้นยาก แต่เลื่อนลงได้จากหลายสาเหตุ เช่นถ้าญาติคนหนึ่งของคุณหนีไปเกาหลีใต้ คนทั้งตระกูลจะถูกจัดเข้าวรรณะ “ศัตรู” แล้วถูกส่งไปคุกแรงงาน แม้ออกจากคุกแล้วลูกหลานก็ยังลำบาก

ในยุค 90s เกาหลีเหนือเกิดทุพภิกขภัยใหญ่ ผู้คนอดอยากล้มตายนับล้าน ต้องกินเนื้อมนุษย์ประทังชีวิต เหตุการณ์นี้ทำให้รัฐบาลอ่อนแอลง

ในตอนนั้นพวกพ่อค้าที่เคยถูกกีดกันเป็นชนชั้นล่าง ได้ใช้ความสามารถทางการค้าเปิดตลาดมืด ค้าขายหากำไรได้มากมาย และใช้เงินเหล่านั้นติดสินบนเจ้าหน้าที่ ทำให้ตัวเองและลูกหลานสามารถเลื่อนเป็นวรรณะสูง

แต่ไม่ว่าอย่างไรคนพวกนี้ก็ไม่สามารถเลื่อนวรรณะได้ถึงระดับสูงสุด เพราะแม้เขาจะติดสินบนจนค่าคะแนน “ฐานะ” เต็ม แต่ค่าคะแนน “ชาติกำเนิด” นั้นเปลี่ยนยากมาก เพราะข้อมูลชาติกำเนิดของทุกคนจะถูกเก็บไว้แยกกันถึงสี่แห่ง ได้แก่ที่สำนักงานเขต, กรมตำรวจ, หน่วยตำรวจลับ, และชมรมที่คนๆ นั้นเป็นสมาชิก เช่น ชมรมผู้ทำสวนเมืองเปียงยาง

ตัวอย่างที่ดีของผู้รับเคราะห์จากระบบชนชั้น คือ โคยองฮุย ซึ่งเป็นมารดาของคิมจองอึนท่านผู้นำในปัจจุบัน โคยองฮุยเกิดในโอซาก้าและปู่ของเธอเคยทำงานให้ญี่ปุ่น ทำให้เธออยู่ใน “วรรณะศัตรู”

รัฐบาลเกาหลีเหนือต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปกปิดชาติกำเนิดของเธอ และไม่ได้สรรเสริญเธอในฐานะมารดาท่านผู้นำมากเท่าที่ควร ทั้งนี้เพราะชาติกำเนิดอันเลวทรามของเธออาจทำให้ภาพลักษณ์ “สายเลือดบริสุทธิ์” ของตระกูลคิมเสื่อมเสีย

ระบบวรรณะนี้อาจมีแม้ในเกาหลีใต้ แม้จะไม่แรงเท่าเหนือ แต่มีคำให้การของผู้ลี้ภัยเข้าเกาหลีเหนือคนหนึ่งบอกว่าเขาไม่สามารถเข้าโรงเรียนทหารระดับสูงของเกาหลีใต้ได้ไม่ว่าจะพยายามสอบจนได้คะแนนดีหลายครั้ง จนมานึกเองทีหลังว่าอาจเป็นเพราะปู่เคยเป็นทหารเกาหลีเหนือมาก่อน

ในตอนที่ผมคุยกับไกด์นั้น ด้วยความไม่อยากให้เขาลำบากใจ ผมจึงเลี่ยงพูดเรื่องการเมือง และหันไปคุยเรื่องอื่นๆ หลายเรื่อง จนมาถึงหัวข้อที่ว่า “ความฝันของคุณคืออะไร? อะไรคือสิ่งที่คุณอยากได้ในชีวิตนี้?”

ไกด์ของผมนิ่งไปพักหนึ่งแล้วตอบว่า “I want to see the world.”

น้ำเสียงของเขามีความเศร้า… มันเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก