สำหรับนักเรียนจีนตั้งแต่ชั้นระดับ “ประถม” เป็นต้นไป ในภาคการศึกษาใหม่เดือนกันยายนปี 2021 ทางการจีนได้ปรับปรุงหลักสูตรการเรียนเพื่อเสริมสร้างความเป็นชาตินิยมให้มากขึ้น เพื่อให้การศึกษาของประเทศมีมาตรฐานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน หลังจากจีนจะสั่งแบนโรงเรียนกวดวิชาและระบบเรียนเสริมออนไลน์

ข้อสำคัญอย่างหนึ่ง คือกระทรวงศึกษาฯ ของจีน ได้เพิ่มวิชา “แนวคิดสี จิ้นผิง” สำหรับชั้นประถมและมัธยมศึกษาลงไปด้วย… แนวคิดนี้มีเนื้อหาอย่างไร? จะนำพาอนาคตของชาติจีนไปในทางไหน? เราจะไปดูด้วยกัน

แนวคิดของสี จิ้นผิง

ชุดความคิดนี้มีชื่อเต็มว่า “แนวคิดของ สี จิ้นผิง ว่าด้วยสังคมนิยมกับลักษณะของจีนสำหรับสมัยใหม่” ซึ่งไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ แต่สีพัฒนาแนวคิดนี้มาตั้งแต่ปี 2012 และได้รับการอนุมัติให้บรรจุในรัฐธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 2017 เพียงแต่เพิ่งเป็นที่พูดถึงกันเพราะถูกบรรจุอยู่ในบทเรียน

ความคิดดังกล่าว มาจากการที่สีมองว่าแนวคิดมาร์กซิส-เลนิน กับ แนวคิดของประธาน เหมา เจ๋อตง คือสิ่งที่ทำให้ชาวจีนออกจากยุคมืดและตั้งเป็นประเทศจีนใหม่ได้ และการที่สหภาพโซเวียตล่มก็เป็นเพราะพรรคไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ดังนั้นจีนจะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และวิธีการหนึ่ง ก็คือเร่งสร้างความเชื่อแบบมาร์กซิสให้แก่เด็ก

เว็บไซต์โกลบอลไทมส์ของจีนระบุว่า กระทรวงศึกษาฯ จีน มุ่งให้เด็กเชื่อมั่นในวิถี, ทฤษฎี, ระบบ และวัฒนธรรมของสังคมนิยมแบบจีน

โดยในชั้นประถม จะเน้นปลูกฝังความรักชาติ, รักพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรักสังคมนิยม ส่วนในชั้นมัธยม จะเน้นการบูรณาการประสบการณ์และเสริมสร้างความรู้ ให้นักเรียนมีรากฐานความคิดและการตัดสินใจทางการเมือง จากนั้นในระดับมหาลัย ก็จะเน้นการวางความคิดเชิงทฤษฎี

แนวคิดของสี จิ้นผิง โดยหลักๆ แบ่งออกเป็น 14 ประการ ดังนี้…

1) พรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้นำของงานทุกรูปแบบในจีน
2) พรรคคอมมิวนิสต์จะต้องเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง
3) ดำเนินการปฏิรูปให้ครอบคลุมลึกซึ้งอย่างต่อเนื่อง
4) รับวิสัยทัศน์ใหม่ๆ ที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์ เพื่อ “นวัตกรรม, การร่วมมือ, สิ่งแวดล้อม, การเปิดกว้าง และ การพัฒนาร่วมกัน”
5) ปฏิบัติตนตามหลักสังคมนิยมจีน โดนถือประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ
6) ปกครองจีนด้วยกฎหมาย
7) ทบทวนค่านิยมหลักของสังคมนิยม ทั้งแบบมาร์กซิส, คอมมิวนิสต์, และสังคมนิยมแบบจีน

8) “การพัฒนาความเป็นอยู่และสุขภาพของประชาชนคือเป้าหมายหลักของความก้าวหน้า”
9) อยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ โดยนโยบาย “รักษาพลังงานและปกป้องสิ่งแวดล้อม” กับ “ช่วยรักษาความปลอดภัยแก่ระบบนิเวศวิทยาโลก”
10) เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้หน่วยความมั่นคงแห่งชาติของจีน
11) พรรคคอมมิวนิสต์จีน มีอำนาจควบคุมกองทัพปลดปล่อยประชาชน
12) โปรโมทนโยบาย “หนึ่งประเทศสองระบบ” สำหรับฮ่องกงและมาเก๊า และวางแผนรวมประเทศในอนาคต ตามนโยบายจีนเดียวกับไต้หวัน
13) สนับสนุนการสร้างอนาคตร่วมกันของคนจีนและชุมชนอื่นๆ ทั่วโลกให้มี “บรรยากาศสงบในระดับนานาชาติ”
14) พัฒนาวินัยของพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้เข้มงวด

เป้าหมายเบื้องหลังแนวคิด

สำนักข่าว The New York Times วิเคราะห์ไว้ว่า หากดูในภาพรวม เป้าหมายของแนวคิดนี้มี 3 ใจความหลักๆ คือ…

1) ทำให้จีนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

ตั้งแต่รับตำแหน่งเลขาพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 2012 ประธานสีก็ปฏิญาณตนว่า จะทำให้จีนกลับไปรุ่งเรืองเช่นครั้งอดีต

จริงๆ ในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา จีนก็เติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจทางการค้าและการลงทุนใกล้เคียงกับสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตาม สีคิดว่าแค่โตทางเศรษฐกิจมันไม่พอ การเมืองก็ต้องเข้มแข็งด้วย

จีนพัฒนากองทัพของตนให้ใหญ่โต ขจัดขุนพลฉ้อฉลออกจากระบบ และเสริมสร้างความทันสมัย เพื่อขยายแสนยานุภาพทางกำลัง

ขณะเดียวกันก็ลงทุนใน “โครงการเข็มขัดและเส้นทาง” (Belt and Road) หรือที่เรียกว่า “เส้นทางสายไหมใหม่” เพื่อขยายอิทธิพลทางการค้าของตัวเองไปพร้อมกันด้วย

2) เสริมความแข็งแกร่งของพรรค

ความชาตินิยมของประธานสี ทำให้ชาวจีนรู้สึกว่าชาติของตนยิ่งใหญ่ เป็นที่น่าเกรงขาม แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องทำให้คนมองข้ามข้อเสียว่า ตนอยู่ในการปกครองของพรรคเดียว

หลังๆ ผู้คลางแคลงใจในระบบคอมมิวนิสต์เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการเติบโตของอินเตอร์เน็ต และการเปิดประเทศรับคนต่างชาติมาท่องเที่ยวและทำธุรกิจในจีน ทำให้ประชาชนเห็นข้อแตกต่าง

หากย้อนกลับไปดูแนวคิดของสี จะพบว่า เขามักเน้นย้ำ ชาติจะแข็งแกร่ง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ก็เพราะมีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้นำเพียงหนึ่งเดียว

เหตุนี้เอง ในช่วงหลังๆ รัฐบาลจีนจึงพยายามควบคุมธุรกิจเอกชนแขนงต่างๆ ทั้งสื่อ, อินเตอร์เน็ต, การบันเทิง, การศึกษา ฯลฯ หรือพูดง่ายๆ คือคุมทุกอย่าง โดยอ้างว่า ธุรกิจเหล่านั้นพยายามผูกขาด หากำไรกับประชาชน

หน่วยข่าวทางการของประเทศจีนมักจะเน้นย้ำเสมอถึงปัญหาของระบอบประชาธิปไตยในตะวันตก ยกตัวอย่างเช่น

“ทำไมต้องตั้งคำถามกับพรรคคอมมิวนิสต์ ในเมื่ออีกทางเลือกหนึ่งมีเพียงความแตกแยกและคอร์รัปชั่น?”

3) รักษาอำนาจของทางการเมืองในฐานะผู้นำสูงสุด

การที่จีนเจริญเป็นเพราะนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ และการที่พรรคคอมมิวนิสต์ยิ่งใหญ่เพราะมีผู้นำที่มีความสามารถ และผู้นำคนนั้น ก็คือเลขาธิการพรรคฯ สี จิ้นผิง นั่นเอง

การบรรรจุแนวคิดของเขาลงไปในบทเรียนตั้งแต่วัยประถมจนมหาลัย ก็เป็นการเน้นย้ำความสำคัญของตัวสีในฐานะผู้นำประเทศ คล้ายกับกับตอนที่ เหมา เจ๋อตง พิมพ์หนังสือปกแดงออกมา

นอกจากนี้ สียังให้สื่อเรียกแทนตัวเองว่า “หลิ่งซิ่ว” ซึ่งเป็นคำยกย่องในภาษาจีน หมายถึง “ท่านผู้นำ” ซึ่งเหมาก็เคยใช้คำนี้เรียกแทนตัวเองมาก่อน แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการรวบอำนาจการบริหารเอาไว้แบบเดียวกัน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า สีจิ้นผิง มีความพยายามนำชุดความคิดคอมมิวนิสต์เดิม มาใช้ควบคู่คำสอนโบราณของปราชญ์จีน อย่างเช่นลัทธิขงจื๊อ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกกวาดล้างไปในยุคเหมา

สีมักอ้างถึงคำสอนยุคเก่า และมองว่าตนกับพรรคฯ เป็นผู้อุปถัมภ์ให้อารยธรรมที่มีมาแต่โบราณคงอยู่ต่อไป

ปฏิวัติวัฒนธรรม 2.0?

จากนโยบายของสี จิ้นผิง ในเวลานี้ มีความคล้ายคลึงกับเหมาในช่วงก่อนปฏิวัติวัฒนธรรม ด้วยการสร้างค่านิยมของชาติที่เข้มแข็งผ่านการปกครองแบบเบ็ดเสร็จจากผู้นำสูงสุด ผ่านกลไกของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นอำนาจรัฐเพียงหนึ่งเดียว

ทางพรรคควบคุมกองทัพปลดแอกประชาชนและกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆ ไปพร้อมกับการพัฒนาค่านิยมยุคสมัยใหม่บางประการเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของชาวจีน

…ทว่าคำถามที่ยังน่าเคลือบแคลงคือการปราบปรามอย่างรุนแรงและเด็ดขาดของรัฐบาลจีน จะตระหนักถึงสิทธิของประชาชนในประเทศมากแค่ไหน?

นอกจากนี้เราคงต้องมาติดตามไปด้วยกันว่า สีจะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของเหมาระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม แล้วหันมาพัฒนาประเทศให้มีความเจริญทัดเทียมชาติมหาอำนาจตะวันตกซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญได้หรือไม่

หรือสีจะเดินเกมทางการเมืองซ้ำรอยกับเหมา จนเป็นรอยด่างพร้อยของประวัติศาสตร์ทางการเมืองยุคใหม่ของจีนมาจนถึงทุกวันนี้…