เรียนตามตรงว่า บทความนี้เกิดจากความสงสัยใคร่รู้ของผมเองเมื่อได้มีดูซีรีย์ “เมนูรักพิชิตใจราชา” ด้วยตัวเอง (เขาไม่ได้จ้าง) 😅 ตัวบทซีรีย์พยายามเน้นย้ำความโหดร้าย หรือ แฝงประวัติศาสตร์เกาหลีบางอย่างของกษัตริย์อีฮอน (พระเอก) อยู่แทบทุกตอน จนสงสัยว่าเรื่องจริงนั้นเขาโหดร้ายแค่ไหนกันเชียว
บทความนี้จึงนำเสนอประวัติศาสตร์ของกษัตริย์ยอนซันกุน กษัตริย์องค์ที่ 10 แห่งราชวงศ์โชซอน ผู้ได้รับสมยานามว่า “ทรราชที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โชซอน” ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวละครในซีรีย์เรื่องนี้ ความเป็นจริงตามประวัติศาสตร์แล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในยุคสมัยของยอนซันกุน
ทำไมเขาถึงได้รับสมยานามที่เลวร้ายเช่นนี้ ติดตามรับชมไปพร้อมกันครับ…
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– เจ้าชายยอนซัน
– กษัตริย์ยอนซัน
– การกวาดล้างนักปราชญ์ครั้งที่ 1
– การกวาดล้างนักปราชญ์ครั้งที่ 2
– ปิดกั้นเสรีภาพ
– การห้ามใช้ตัวอักษรฮันกึล (ตัวอักษรเกาหลีที่ยังใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้)
– จุดจบของทรราช
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– เจ้าชายยอนซัน
1. ยอนซันกุน หรือ เจ้าชายยอนซัน พระองค์ทรงประสูติเมื่อปี 1476 มารดาของพระองค์คือ “พระนางเชฮอน”
ในวัยเด็กของพระองค์ หลังจากประสูติได้เพียงไม่กี่ปี พระมารดากลับถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในราชสำนัก ทำให้นางถูกปลดจากตำแหน่งมเหสี จนท้ายที่สุดถูกบังคับให้ดื่มยาพิษสิ้นพระชนม์ในขณะที่พระเจ้ายอนซันกุนมีพระชนมายุเพียง 6 พรรษาเท่านั้น
( ข้อเสริม) พระนางเชฮอน หรือ พระนางยุน เดิมทีทรงเป็นเพียงนางสนมในราชสำนัก แต่ด้วยความงดงามและความโปรดปรานของพระเจ้า ซ็องจงแห่งโชซอน ทำให้พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นพระมเหสีหลังจากที่พระมเหสีองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ทว่าพระนางเชฮอนทรงมีพระอัธยาศัยหึงหวงอย่างมาก จนครั้งหนึ่งทำให้พระสวามีบาดเจ็บจนมีรอยแผลบนพระพักตร์ แม้พระองค์จะปกปิดเรื่องนี้แต่ก็ไม่อาจรอดสายตาของพระพันปีหลวง (พระราชมารดาของพระเจ้า ซ็องจง) ไปได้ เรื่องนี้สร้างความไม่พอพระทัยแก่ เป็นอย่างมาก จนท้ายที่สุดพระนางเชฮอนถูกปลดออกจากตำแหน่งพระมเหสี และถูกบังคับให้ดื่มยาพิษสิ้นพระชนม์ไปในที่สุด
2. ตั้งแต่นั้นทำให้เจ้าชายยอนซันต้องเติบโตขึ้นอย่างโดดเดี่ยวโดยขาดความรักและการดูแลเอาใจใส่จากพระมารดาที่แท้จริง
หลังพระมารดาถูกปลดจากตำแหน่งไป คนที่มาเลี้ยงดูพระองค์คือพระนางจองฮยอน พระมเหสีองค์ใหม่ของพระเจ้าซ็องจง แม้พระนางจะแสดงความเอ็นดูเจ้าชายบ้าง แต่ก็ไม่ใช่สายสัมพันธ์แม่ลูกแท้ๆ ทำให้ความรู้สึกส่วนนี้ขาดหายไป และได้กลายเป็นบาดแผลลึกในจิตใจของเจ้าชายในที่สุด
3. แม้วัยเยาว์เจ้าชายจะได้รับการศึกษาตามระเบียบของราชวงศ์โชซอน ทั้งด้านอักษรจีน ขงจื๊อ และศิลปวัฒนธรรม แต่พระองค์กลับมีลักษณะนิสัยที่อ่อนไหวและอารมณ์รุนแรง
เพราะบ่อยครั้งพระองค์ถูกเลี้ยงดูด้วยความเข้มงวดเกินไปตามฉบับรัชทายาท ทั้งยังเติบโตท่ามกลางบรรยากาศการเมืองในราชสำนักที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งอำนาจระหว่างฝ่ายต่างๆ ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ไม่ดีเอาเสียเลย ในแง่ของเจ้าชายน้อยที่มีอายุเพียง 10 กว่าพรรษาเท่านั้น
4. ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระมารดาก็ถูกปกปิดจากพระองค์ พระเจ้าซ็องจง และพระพันปีหลวงมิได้เล่าความจริงให้เจ้าชายรับรู้ แต่กลับบอกว่าเจ้าชายว่า พระมารดาของพระองค์ “ถูกขับออกไป” ความสงสัยและความโหยหาความจริงในใจของเจ้าชายจะส่งผลอย่างมากต่อการครองราชย์ของพระองค์ในอีกไม่ช้า
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– กษัตริย์ยอนซัน
5. เมื่อพระเจ้าซ็องจงแห่งโชซอนเสด็จสวรรคต เจ้าชายยอนซันซึ่งมีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา ก็ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ในพระนามว่า กษัตริย์ยอนซัน (Yeonsangun) ในช่วงแรกของการขึ้นครองราชย์พระองค์ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของเหล่าขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหลาย ร่วมไปถึงพระพันปีหลวง และพระราชมารดาเลี้ยง ซึ่งช่วยประคับประคองราชสำนักให้อยู่ในความสงบ
6. ในต้นรัชกาลของพระองค์ ไพร่ฟ้าต่างชื่นบานเพราะกษัตริย์ยอนซันกุนมีลักษณะของกษัตริย์ผู้ตั้งใจทรงงานอย่างหนัก พระองค์ให้ความสนใจกับการบริหารบ้านเมือง ฟังคำปรึกษาของขุนนางทั้งหลาย และมีความประสงค์ที่จะเป็นกษัตริย์ที่ดีเพื่อประชาชน อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่พระองค์มิเคยลืมเลือนคือเรื่องของพระมารดา เป็นสิ่งที่พระองค์เฝ้าตามหาความจริงอยู่ในทุกวัน
7. ในที่สุดความจริงเป็นสิ่งที่ไม่มีวันลบเลือนได้ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป พระเจ้ายอนซันกุนก็ได้ทรงล่วงรู้ความจริงเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระมารดา ทำให้พระองค์จึงพยายามฟื้นฟูพระเกียรติยศและตำแหน่งของพระมารดาขึ้นมาใหม่ เพื่อชดเชยความอยุติธรรมที่พระมารดาเคยได้รับ
8. อย่างไรก็ตาม ความพยายามดังกล่าวกลับถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากเหล่าขุนนางฝ่าย “ซาริม” (กลุ่มนักปราชญ์ที่มีอำนาจในช่วงต้นของยุคโชซอน) ซึ่งถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการขัดต่อพระราชประสงค์ของพระเจ้า ซ็องจง พระราชบิดาของพระองค์
ความขัดแย้งนี้สร้างความขุ่นเคืองและหมางใจ ให้พระทัยของกษัตริย์ยอนซันกุนยิ่ง เพราะทรงเห็นว่าขุนนางฝ่ายซาริมไม่ภักดีต่อพระองค์ และยังยึดถือคำสั่งของพระราชบิดาเหนือเจตจำนงของพระองค์ พระองค์จึงเริ่มมองหาหนทางในการ “กำจัด” พวกขุนนางเหล่านี้เสียให้พ้นทาง
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– การกวาดล้างนักปราชญ์ครั้งที่ 1
9. และแล้วในปี 1498 ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยศิษย์เอกคนหนึ่งของปราชญ์ใหญ่ฝ่ายซาริม ได้เขียนบันทึกในพงศาวดารราชสำนัก ซึ่งมีถ้อยคำวิจารณ์การยึดอำนาจของพระเจ้าเซโจ ผู้เป็นพระอัยกาโดยตรงของพระองค์ (ปู่)
10. เมื่อขุนนางฝ่ายตรงข้ามพบข้อความดังกล่าว พวกเขาก็ใช้เป็นข้ออ้างกล่าวหาว่าผู้เขียนและเหล่าศิษย์ปราชญ์ใหญ่คิดกบฏต่อราชบัลลังก์ ยอนซันกุนซึ่งกำลังเต็มไปด้วยความโกรธและหวาดระแวง จึงถือเอาโอกาสนี้สั่งประหารบัณฑิตหลายคนจากฝ่ายซาริมอย่างโหดร้าย
เหตุการณ์นี้มีนักปราชญ์ที่ถูกสั่งประหารอย่างน้อย 6 คน นอกจากนี้ยังมีผู้ถูกเนรเทศ ถูกปลดออกจากตำแหน่ง และถูกประจานอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งยังสั่งให้ขุดศพของปราชญ์ใหญ่ขึ้นมา แล้วทำการเผาและทำลายกระดูกเพื่อเป็นการประจาน
11. เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ในชื่อ “การกวาดล้างบัณฑิตครั้งมูโอ” ซึ่งเป็นการกวาดล้างใหญ่ครั้งแรกต่อกลุ่มขุนนางขงจื๊อฝ่ายซาริม นับเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่ชัดเจนของการปกครองที่โหดร้ายและการแก้แค้นของพระเจ้ายอนซันกุน
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– การกวาดล้างนักปราชญ์ครั้งที่ 2
12. ในปี 1504 อิม ซา-ฮง ขุนนางคนสนิท ได้เปิดเผยความจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของมารดาแก่พระเจ้ายอนซันกุน โดยอิม-ซาฮง ได้นำเสื้อผ้าที่มีคราบเลือดติดอยู่มาแสดง และอ้างว่าเป็นเลือดที่พระนางทรงอาเจียนออกมาในยามที่ถูกบังคับให้ดื่มยาพิษ เรื่องนี้ได้สั่นสะเทือนพระทัยกษัตริย์หนุ่มอย่างรุนแรง และปลุกโทสะที่กดทับมานานให้ปะทุขึ้นในทันที
13. พระเจ้ายอนซันกุนทรงโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก พระองค์ถึงกับทรมานและตี พระสนมเอกจอง และ พระสนมออม ด้วยพระหัตถ์เองจนเสียชีวิต เนื่องจากทั้งสองเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการล้มพระมารดาของพระองค์
นอกจากนี้ยังเกิดเหตุทะเลาะเบาะแว้งกับพระพันปีหลวงจนพระนางล้มสิ้นพระชนม์ในเวลาไม่นาน
หลังจากนั้นพระองค์ยังทรงมีพระบัญชาให้ประหารชีวิตเหล่าขุนนางที่มีบทบาทในการตัดสินโทษประหารพระมารดา พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้ยกย่องพระนางเชฮอนเป็น “พระนางเชฮอน” เพื่อฟื้นฟูพระเกียรติยศที่สูญเสียไปด้วย
14. อย่างไรก็ตาม ความโกรธแค้นของพระองค์มิได้หยุดเพียงเท่านี้ ยอนซันกุนทรงสั่งลงโทษขุนนางจำนวนมากที่แม้เพียงแต่เคยอยู่ในที่ประชุมราชสำนักขณะตัดสินชะตาพระมารดา โดยถือว่าพวกเขา “มีความผิดฐานไม่ห้ามปราม” การกระทำเหล่านี้ทำให้ราชสำนักเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขณะที่ อิม ซา-ฮง และพรรคพวกกลับได้รับการเลื่อนตำแหน่งและผลประโยชน์ตอบแทนมหาศาล
15. เหตุการณ์การกวาดล้างที่โหดร้ายนี้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า “การกวาดล้างบัณฑิตครั้งคับจา” หรือ “การกวาดล้างนักปราชญ์ครั้งที่สอง” ซึ่งนับเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมใหญ่ของราชวงศ์โชซอน มีบัณฑิตและขุนนางฝ่ายซาริมอย่างน้อย 36 คน ที่ถูกสั่งให้ดื่มยาพิษจนสิ้นชีวิต
ในความเป็นจริงจำนวนผู้เสียชีวิตน่าจะสูงกว่านั้นมาก เพราะครอบครัวและเครือญาติของผู้ที่ถูกกล่าวหาต่างถูกลงโทษไปด้วยเช่นกัน โดยผู้ชายมักถูกประหาร ส่วนสตรีในตระกูลมักถูกลดชั้นให้เป็นทาสหลวงหรือถูกบังคับใช้งานอย่างทารุณ
16. นอกจากนี้ยังมีขุนนางกว่า 239 คน ที่ถูกลงโทษในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประหารชีวิต การเนรเทศ หรือการถอดถอนจากตำแหน่งราชการ ทำให้ราชสำนักในเวลานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและการกดขี่ ทุกคนต่างหวาดระแวงว่าจะถูกกล่าวหาและถูกลากไปสู่ความตายได้ทุกเมื่อ
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– ปิดกั้นเสรีภาพ
17. พระเจ้ายอนซันเริ่มใช้อำนาจอย่างแข็งกร้าว พระองค์มีพระราชโองการให้ปิดสถาบันซงกยุนกวาน (มหาวิทยาลัยหลวง) และวัดวอนกักซา เพื่อเปลี่ยนพื้นที่เหล่านั้นเป็นสถานที่บันเทิงส่วนพระองค์ พร้อมทั้งบังคับเกณฑ์หญิงสาวจำนวนหลายพันคนจากทั่วแปดจังหวัดของอาณาจักร ไม่ว่าจะชนชั้นใดก็ตาม เข้ามาเป็นสนมในวังเพื่อสนองความสุขส่วนพระองค์
18. นอกจากนี้ยังทรงสั่งรื้อถอนย่านที่อยู่อาศัยในกรุงฮันยาง ขับไล่ประชาชนกว่า 20,000 คน ออกจากบ้านเรือน เพื่อสร้างลานล่าสัตว์อันกว้างใหญ่ และเกณฑ์แรงงานชาวบ้านจำนวนมากให้ทำงานอย่างหนักโดยไม่เต็มใจ
19. เมื่อบรรดาขุนนางพยายามทูลทัดทาน พระองค์กลับตอบโต้ด้วยความโกรธเกรี้ยว ทรงยกเลิกสำนักตรวจการ (Saganwon) ซึ่งมีหน้าที่วิจารณ์การบริหารของกษัตริย์ และ สำนักที่ปรึกษาพิเศษ (Hongmungwan) ที่คอยถวายคำสอนตามหลักขงจื๊อ อีกทั้งยังบังคับให้เหล่าขุนนางต้องสวมแผ่นป้ายที่เขียนข้อความว่า “ปากคือประตูแห่งภัย ลิ้นคือดาบที่ตัดศีรษะ ร่างกายจะปลอดภัยก็ต่อเมื่อปิดปากและเก็บลิ้นไว้” เพื่อกดดันไม่ให้ใครกล้าขัดพระราชประสงค์
20. แม้แต่ คิม ชอ-ซุน (Kim Cheo-sun) ขันทีเอกผู้ภักดีซึ่งเคยรับใช้กษัตริย์ถึงสามรัชกาล ก็ยังไม่รอดพ้นจากพระอารมณ์อำมหิต ยอนซันกุนทรงสังหารเขาด้วยการยิงธนู และถึงขั้นลงพระหัตถ์ตัดส่วนต่างๆ ของขันทีผู้นี้ด้วยพระองค์เอง จากนั้นยังสั่งลงโทษเครือญาติของคิม ชอ-ซุน ย้อนกลับไปถึงเจ็ดชั่วคน เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ตอกย้ำภาพลักษณ์ของพระเจ้ายอนซันกุนในฐานะ กษัตริย์ทรราชผู้ปกครองด้วยความโหดร้ายและการกดขี่อย่างแท้จริง
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– การห้ามใช้ตัวอักษรฮันกึล (ตัวอักษรเกาหลีที่ยังใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้)
21. ในช่วงปี 1504 ซึ่งตรงกับปีที่ 10 ในรัชสมัยพระเจ้ายอนซันกุนได้พบป้ายคำประณามพระองค์ที่เขียนด้วย “อักษรฮันกึล” ได้ถูกแอบนำไปติดไว้ถึงสามแผ่น เนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์ความโหดร้ายในการปกครอง และความใฝ่ในกามอารมณ์ของพระองค์ ทว่าผู้เขียนกลับไม่สามารถระบุตัวตนได้ ทำให้พระองค์กริ้วเกรี้ยวกราดอย่างหนัก จึงมีพระราชโองการห้ามเรียน สอน หรือใช้ฮันกึลโดยเด็ดขาด พร้อมสั่งให้ประชาชนในเขตฮันซองทั้งห้าแขวงรายงานตัวผู้ที่รู้จักอักษรนี้และลงโทษผู้ที่ไม่แจ้งเบาะแสเพื่อนบ้าน
22. ไม่กี่วันต่อมาพระองค์ถึงกับสั่งให้ ประหารชีวิตผู้ที่ยังใช้ฮันกึล และเฆี่ยนตีผู้ที่ปกปิดข้อมูล ขุนนางทั้งหลายถูกบังคับให้เผาหนังสือที่มีคำอธิบายเป็นฮันกึลทิ้งทั้งหมด อย่างไรก็ตามพระองค์ยังคงอนุญาตให้เก็บ หนังสือฮันกึลที่แปลจากอักษรฮันจา ซึ่งเป็นผลงานของกษัตริย์รุ่นก่อนๆ เอาไว้ เพราะไม่อาจกล้าลบล้างพระราชกรณียกิจของบรรพกษัตริย์ได้
23. แม้จะมีการล่าและสอบสวนผู้รู้ตัวอักษรฮันกึลต่อเนื่องไปจนถึงต้นเดือนสิงหาคม แต่ก็ไม่สามารถจับกุมผู้เขียนป้ายเหล่านั้นได้ สุดท้าย การห้ามใช้ฮันกึลของพระเจ้ายอนซันกุนก็สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว และในเวลาไม่นาน พระองค์เองยังทรงออกคำสั่งให้มีการแปลตำราต่าง ๆ เช่นปฏิทิน และบทไว้อาลัย เป็นภาษาเกาหลีอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่ามาตรการห้ามดังกล่าวเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
– จุดจบของทรราช
24. ความโหดร้ายของพระเจ้ายอนซันกุน ทำให้ทั้งประชาชนและเหล่าขุนนางต่างสิ้นศรัทธา พระองค์ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจเพื่อตอบสนองตัณหาและความโกรธแค้นส่วนตัวมากกว่าการปกครองบ้านเมือง จนความไม่พอใจแพร่กระจายไปทั่วราชสำนักและกองทัพ
25. ในปี 1506 บรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์ฝ่ายตรงข้ามจึงร่วมมือกันก่อการรัฐประหารที่รู้จักกันในชื่อ “การเปลี่ยนแปลงแห่งปีจุงจง” (Jungjong coup) พวกเขาลอบเข้าวังในยามรุ่งสาง กำจัดขุนนางคนสนิทของยอนซันกุน และประกาศปลดพระองค์ออกจากราชบัลลังก์อย่างสิ้นเชิง จากนั้นจึงเชิญ เจ้าชายจินซอง พระอนุชาต่างพระมารดา ขึ้นครองราชย์เป็น พระเจ้าจุงจง (King Jungjong) กษัตริย์องค์ที่ 11 แห่งโชซอน
26. ส่วนพระเจ้ายอนซันกุน หลังจากถูกถอดยศก็ถูกลดฐานะลงเป็นเพียง “เจ้าชายยอนซัน” และถูกส่งไปกักบริเวณที่เกาะคังฮวา
พระองค์สิ้นพระชนม์ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ด้วยวัยเพียง 29 พรรษา โดยบันทึกทางการไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นเพราะโรคภัยหรือถูกบังคับให้ตาย แต่สิ่งที่แน่นอนคือ พระองค์มิได้ถูกฝังในสุสานกษัตริย์ หากแต่ถูกฝังอย่างเรียบง่าย
( บุตรชายทั้งสี่ของยอนซันกุนถูกบังคับให้ดื่มยาพิษ)
27. จุดจบอันน่าเศร้าของยอนซันกุนจึงเป็นบทเรียนสำคัญของประวัติศาสตร์เกาหลี และทำให้พระนามของพระองค์ถูกตราหน้าว่าเป็น “ทรราชที่เลวร้ายที่สุด” ในยุคสมัยโชซอน
::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: ::: :::
#TWCHistory #TWCKorea #TWC_Salmon
0 Comment