ประเทศบัลแกเรียขึ้นชื่อเรื่องโยเกิร์ต และพวกเขาภูมิใจที่จะประกาศตนว่าโยเกิร์ตบัลแกเรียเป็นโยเกิร์ตที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ด้วยอายุถึงกว่า 4 พันปี ซึ่งคาดว่าพบโดยบังเอิญในหมู่คนเร่ร่อนที่เก็บนมไว้ในหนังสัตว์ จึงเกิดการหมักโดยจุลินทรีย์

ความไม่เหมือนใครของโยเกิร์ตบัลแกเรียเพราะมีจุลินทรีย์ประจำถิ่นชื่อ lactobacillus bulgaricus ทำให้ได้โยเกิร์ตที่มีรสเปรี้ยวโดยธรรมชาติ และเนื้อสัมผัสจะคล้ายเยลลี่ ไม่ใช่ครีม

โยเกิร์ตบัลแกเรียทำจากนมควายหรือแกะดิบที่ตั้งทิ้งไว้เฉยๆ หรือไม่ก็เอาโยเกิร์ตที่ได้แล้วมาผสมๆ กับนมปกติ ก็จะได้โยเกิร์ตเอง ด้วยความที่ไม่ต้องผ่านกรรมวิธีมากมายจึงทำให้ชาวบัลแกเรียเรียกโยเกิร์ตของพวกตนว่า “นมเปรี้ยว” (ถ้าเทียบกับบ้านเราคงเป็นนมเสียไม่ก็นมบูด)

โยเกิร์ตแต่ละพื้นที่ก็จะได้ผลผลิตรสชาติของตัวเอง อย่างไทยมีกระแส “คราฟต์เบียร์” ต้องลองเทียบกับ “คราฟต์โยเกิร์ต” แบบบัลแกเรียแท้ๆ ดู

ส่วนการรับประทานโยเกิร์ตบัลแกเรียจะกินเดี่ยวๆ หรือเติมในอาหารบัลแกเรียอย่างอื่นก็ได้ เช่น พริกหยวกยัดไส้หรือสตูถั่วเขียว เรียกว่าถ้าคิดไม่ออกก็กินกับโยเกิร์ตได้หมด

ในยุคที่บัลแกเรียเป็นคอมมิวนิสต์ รัฐบาลพยายามโปรโมตโยเกิร์ตของประเทศ โดยมีการผลิตแบบอุตสาหกรรม และมีการส่งออกไปยังญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ซึ่งได้ทำให้โยเกิร์ตเป็นที่รู้จักของชาวโลกในยุคไม่ถึง 40 ปีมานี่เอง

การผลิตโยเกิร์ตบัลแกเรียแบบอุตสาหกรรมใช้นมวัว บวกกับหัวเชื้อหรือเชื้อเริ่มต้นแห้ง โดยมีอุปกรณ์และการวัดแบบเป๊ะๆ ดังนั้นโยเกิร์ตบัลแกเรียที่ผลิตในโรงงานจึงรสชาติไม่เหมือนโยเกิร์ตบัลแกเรียแท้ๆ นั่นเอง

“โยเกิร์ตบัลแกเรียของแท้ต้องมีความหลากหลาย ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานเดียว ถ้ายายจากสองหมู่บ้านผลิตโยเกิร์ต ยังไงก็ต้องรสชาติต่างกัน ที่เป็นแบบนี้เพราะโยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความใกล้ชิด เชื่อมโยงกับผืนดิน สัตว์และรสนิยมของแต่ละครอบครัว ความรู้ในการผลิตจะส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น” เอลิตซา สตอยโลวา อาจารย์มหาวิทยาลัยพลอฟดิฟ กล่าว