ลัดเจอร์ เขาเป็นชายสํามะเลเทเมาคนหนึ่ง นิสัยของเขาไม่ค่อยดีนัก ผู้คนในเมืองมักมองเขาเป็นตัวปัญหาเพราะชอบเมาเหล้าและชกต่อยไปทั่ว แต่ด้วยนิสัยเสียของเขานี่แหละ ที่ทำให้เขารอดตาย

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมปี 1902 เกาะมาร์ตินีก ในทะเลแคริบเบียน บ้านเกิดของเขาเอง ลัดเจอร์เกิดไปมีเรื่องชกต่อยกันในบาร์จนกระทั่งถูกจับในวันนั้น (ข้อมูลหลายแหล่งไม่ชัดเจนว่า แค่เหตุต่อยกันหรือเขาไปแทงคนจนมีผู้เสียชีวิต)

5 วันต่อมา ไม่กี่ชั่วโมงก่อนการปะทุ เขาถูกแยกขังเดี่ยว เพราะพยายามจะหลบหนีจากการคุก (บ้างก็ว่าขังรอการประหาร) แต่ด้วยเหตุใดก็ตาม เขาถูกนำมาขังในห้องขังหินที่หนามาก ถึงขนาดที่ทนแรงระเบิดได้ ห้องขังนี้ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงช่องอากาศเล็กเท่านั้นให้พอหายใจได้

และแล้วในช่วงรุ่งเช้า ภูเขาไฟเปเลก็ได้เกิดปะทุขึ้น ก่อให้เกิดกลุ่มเมฆสีดำอันเกิดจากเถ้าถ่านพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า ปกคลุมท้องฟ้าเป็นระยะทางกว่าห้าสิบไมล์โดยรอบภูเขาไฟ

(ในช่วงเวลนั้น “ภูเขาไฟเปเล” แสดงสัญญาณปะทุมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ด้วยความรู้สมัยนั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีผู้คนวางแผนจะปิกนิกบนภูเขาไฟเพียงสามวันก่อนการปะทุด้วยซ้ำ แต่ต้องยกเลิกเนื่องจากเถ้าถ่านที่เริ่มโปรยปรายลงมา)

กลุ่มเมฆเถ้าถ่านบางส่วนทะลักลงมาตามไหล่เขา ด้วยความเร็วกว่า 161 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้าอย่างไร้ความปรานี โศกนาฏกรรมยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เพราะชาวบ้านจากชนบทจำนวนมากได้อพยพเข้ามาหลบภัยในเมือง ทว่าเมืองกลับกลายเป็นจุดที่อันตรายที่สุดของเกาะเสียอย่างนั้น

เมืองแซงต์-ปีแยร์ ต้องเผชิญกับกระแสไพโรคลาสติกกวาดล้างภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที กระแสนี้ประกอบด้วยก๊าซร้อนจัดและเศษซากภูเขาไฟ อุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส เมื่อพุ่งเข้าใส่เมืองจึงทำให้โครงสร้างทั้งหมดถูกทำลายจนราบ

ประชากรเกือบทั้งหมดเสียชีวิตจากการถูกเผาไหม้ แม้จะหลบคลื่นความร้อนได้พวกเขาก็จะขาดอากาศหายใจ เนื่องจากก๊าซภูเขามีคาร์บอนไดออกไซด์และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ประกอบอยู่ เมื่อมนุษย์สูดเข้าไปมันจะทำลายเนื้อเยื่อปอดภายในทันที ทั้ง 2 องค์ประกอบนี้ ทำให้ประชาชนกว่า 3 หมื่นคนบนเกาะเสียชีวิตแทบจะทันที

ลัดเจอร์เล่าว่า ช่วงเวลาประมาณตอนเช้าของวันเกิดเหตุ ท้องฟ้ามืดมิดลงทันตา อากาศปะปนไปด้วยเถ้าภูเขาไฟละเอียด แม้เขาจะพยายามปัสสาวะรดเสื้อผ้าแล้วอุดไว้ที่ช่องเพื่อปิดกั้นช่องหายใจก็ตาม แต่มันก็เล็ดลอดเข้ามาอยู่ดี

ความร้อนคงอยู่เพียงชั่ววูบเดียว แต่ก็เพียงพอจะทำให้มือ แขน ขา และหลังของเขาเกิดแผลไหม้รุนแรงได้ โชคดีที่เสื้อผ้าของเขาไม่ติดไฟ อีกทั้งเขาหลีกเลี่ยงการสูดเอาอากาศร้อนจัดเข้าไปในปอดได้ ทำให้เขารอดตายจากหายนะครั้งนี้

ลัดเจอร์เอาชีวิตรอดในแต่ละวันด้วยการอาศัยน้ำฝนและหยดน้ำที่เกาะอยู่ใต้ซี่กรงห้องขัง แม้เขาจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน เพราะไม่มีใครในบริเวณนั้นรอดชีวิตเลย

จนกระทั่ง 4 วันถัดมา ในวันที่ 11 พฤษภาคมทีมกู้ภัยที่มาถึงได้ค้นพบเขาในที่สุด การรอดชีวิตของเขาทำให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยตกตะลึงอย่างมาก และรีบพาเขาไปรับการรักษาพยาบาล

หายนะครั้งนี้ได้ฝากรอยแผลไฟไหม้ไว้เต็มตัวลัดเจอร์ แต่มันก็ได้ให้ชีวิตใหม่ก็เขาเช่นกัน ลัดเจอร์ได้รับการอภัยโทษสำหรับอาชญากรรมของเขา และได้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ในฐานะ “ชายผู้รอดชีวิตจากวันสิ้นโลก” และออกเดินทางในฐานะผู้เล่าเรื่องของคณะละครสัตว์

ปล. เขาไม่ใช่ผู้รอดชีวิตคนเดียวจากหายนะครั้งนี้ ลูกเรือที่จอดเรืออยู่นอกชายฝั่งมีบางส่วนที่รอดชีวิตเช่นกัน (ไม่ได้หมายความว่ารอดหมดนะจอดไม่ไกลก็เสียชีวิตเช่นกัน)

แต่ที่ประวัติศาสตร์จารึกชื่อไว้มีเพียง 3 ชื่อเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือเด็กหญิงชื่อฮาวีฟรา (Havivra Da Ifrile) เธอหนีรอดมาได้โดยการปีนขึ้นเรือและพายเรือไปยังถ้ำที่เธอและเพื่อนๆ เคยเล่นเป็นโจรสลัด

เธอเล่าว่า “ก่อนที่ฉันจะไปถึงถ้ำ ฉันหันกลับไปมอง เห็นด้านหนึ่งของภูเขาที่อยู่ใกล้เมืองเหมือนเปิดออก แล้วพวยพุ่งใส่เมืองที่ผู้คนกำลังกรีดร้อง ฉันถูกไฟลวกไม่น้อยเลย จากหินและเถ้าถ่านที่ปลิวใส่เรือ แต่ก็ยังไปถึงถ้ำได้” ต่อมาเธอถูกพบหมดสติอยู่บนเรือที่ถูกไฟไหม้และกำลังพัง ห่างออกไปสองไมล์ในทะเล

#TWCHistory #TWC_Salmon