1. ในช่วงฤดูหนาวอันโหดร้ายของปี 1925 เมืองโนม เมืองริมชายฝั่งอะแลสกา ได้เกิดภัยร้ายเงียบที่กำลังจะสร้างหายนะให้แก่เมืองแห่งนี้ ภัยร้ายนี้ไม่ใช่อากาศ มันมองไม่เห็น แต่กลับคร่าชีวิตคนได้อย่างง่ายดาย นั่นคือ “โรคคอตีบ”
2. เมืองโนมมีประชากรอยู่ประมาณ 1,400 คนแต่กลับมีแพทย์เพียง 1 คน เท่านั้น คือคุณเคอร์ติส เวลช์ กับพยาบาลอีก 4 คน และพวกเขาทำงานอยู่ในโรงพยาบาลขนาดเล็ก
3. ปกติโรงพยาบาลมีเซรุ่มต้านพิษคอตีบไว้อยู่แล้ว ทว่าเซรุ่มกลับหมดอายุก่อนหน้านี้ไม่นาน พอสั่งเซรุ่มเพิ่มกลับเกิดข้อผิดพลาด เพราะการเดินเรือล่าช้าจนเข้าสูฤดูหนาวทำให้ทะเลทั้งหมดก็กลายเป็นทะเลน้ำแข็ง ทำให้เรือไม่สามารถเทียบท่าได้ ทางเดียวคือต้องรอจนฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น
4. สัญญาณร้ายเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อช่วงแรก แพทย์เคอร์ติส เวลช์รักษาเด็กไม่กี่รายที่มีอาการเจ็บคอ ซึ่งเขาวินิจฉัยว่าอาจเป็นเพียง “ต่อมทอนซิลอักเสบ” เท่านั้น
เขาไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ของ “โรคคอตีบ” แต่เนื่องจากโรคคอตีบสามารถแพร่เชื้อได้ง่าย เขาจึงคาดว่าหากเป็นคอตีบจริงๆ ข้อบ่งชี้โรคจะต้องมีผู้ป่วยในครอบครัวเดียวกันหรือคนอื่นๆ ในเมืองแสดงอาการเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ ไม่ใช่เพียงผู้ป่วยที่แยกกันอยู่ไม่กี่ราย
5. แต่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมาสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดก็เป็นจริง เพราะจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีเด็กสี่คนเสียชีวิตโดยที่เวลช์ไม่สามารถทำการชันสูตรร่างเองได้ ทำให้เขาเริ่มวิตกกังวลมากขึ้นว่า การระบาดของโรคคอตีบ มีนัยยะมากขึ้นจริงๆ แล้ว
(“โรคคอตีบ” ในยุคนั้น ถือว่าเป็นภัยร้ายแรง เพราะมันแพร่กระจายได้เร็วและอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง ทางเดียวที่จะรักษาได้คือต้องมีเซรุ่มเท่านั้น)
6. ในที่สุด เวลช์ก็วินิจฉัยผู้ป่วยโรคคอตีบรายแรกอย่างเป็นทางการ เป็นเด็กชายอายุเพียง 3 ขวบ ซึ่งเสียชีวิตลงภายในสองสัปดาห์ถัดมา และในวันรุ่งขึ้น เด็กหญิงวัย 7 ขวบก็เริ่มแสดงอาการที่บ่งบอกถึงโรคคอตีบเช่นเดียวกัน เวลช์พยายามแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าด้วยการให้เซรุ่มที่หมดอายุไปแล้ว เขาหวังว่าเซรุ่มจะยังคงมีประสิทธิภาพอยู่บ้าง ทว่าเด็กหญิงก็เสียชีวิตลงในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
7. ระหว่างที่แก้ไขสถานการณ์ เวลช์ก็ตระหนักดีว่าหากไม่ได้รับเซรุ่มใหม่อย่างเร่งด่วน เมืองทั้งเมืองจะต้องเผชิญกับหายนะแน่ เขาจึงส่งคำร้องขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานสาธารณสุขที่ใกล้ที่สุด และรัฐบาลท้องถิ่นในอะแลสกา โดยอธิบายถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายลงทุกที
8. คำร้องของเขาระบุชัดว่า โนมไม่เหลือเซรุ่มที่ใช้การได้อีกต่อไป และโรคกำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในเด็กๆ หากไม่ได้รับเซรุ่มใหม่ภายในไม่กี่สัปดาห์ จะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก มันจะแพร่กระจายไปทั้งเมืองจนเมืองล่มสลาย และจะเริ่มกระจายไปทั้งเขต ในไม่ช้ากว่า 10,000 คนในอะแลสกาอาจต้องเสียชีวิต
9. เรื่องนี้ถูกส่งต่อผ่านโทรเลขไปทั่วรัฐ และในไม่ช้าก็ถึงกรุงวอชิงตัน ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับชาติเริ่มตระหนักว่า เมืองแห่งนี้กำลังแข่งกับเวลาเพื่อความอยู่รอดของคนทั้งเมือง แผนการช่วยเหลือจึงเริ่มต้นขึ้นในทันที
10. ปัญหาคือคลังใหญ่ยาที่เก็บเซรุ่มไว้อยู่ในเมืองแฟร์แบงก์ส ซึ่งห่างออกไปกว่า 1,000 กิโลเมตร (ประมาณกรุงเทพฯ – หาดใหญ่) ไม่เพียงแค่ความไกล แต่ยังต้องผ่านภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยหิมะหนา พายุน้ำแข็งที่รุนแรงมาก อีกทั้งอุณภูมิติดลบ -46 องศาเซลเซียส และความมืดมิดเพราะในฤดูหนาวอะแลสกา แทบจะไม่มีแสงแดดสาดส่องลงมาเลย
11. หนทางที่เป็นไปได้ในเวลานั้นจึงเหลือเพียงไม่กี่ทาง การใช้เครื่องบินถูกตัดออกอย่างรวดเร็วเพราะเครื่องบินในปี 1925 ไม่สามารถบินไปถึงโนมท่ามกลางพายุหิมะที่หนาวเย็นและลมแรงจัดได้ แถมทำให้เซรุ่มอันมีค่าเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
อีกทางคือรถไฟ แต่รางก็ไปได้ไม่ถึงเมืองโนมอยู่ดี ทำได้แค่ส่งเซรุ่มไปสิ้นสุดที่เมือง เนนานา (Nenana) และจากตรงนั้นจำเป็นต้องหาทางส่งต่อเอาเอง ซึ่งทางเดียวก็คือการใช้ “สุนัขลากเลื่อน”
12. สิ่งนี้ทำให้เกิดปฏิบัติการที่ต่อมาเรียกว่า “Great Race of Mercy” เป็นเหมือนการวิ่งผลัดทีมสุนัขหลายทีมจะวิ่งต่อกันเป็นระยะทางรวมเกือบ 1,000 กิโลเมตร ฝ่าพายุหิมะที่อุณหภูมิต่ำกว่า -46°C เพื่อส่งเซรุ่มให้ถึงโนมโดยเร็วที่สุด
13. การวิ่งผลัดนี้ประกอบด้วยผู้ขับเลื่อนกว่า 20 คน และสุนัขกว่า 150 ตัว เข้าร่วมปฏิบัติการ การวิ่งผลัดไม้แรกเริ่มโดย “ไวลด์ บิล แชนนอน” ในวันที่ 27 มกราคม อุปสรรคที่เขาต้องเจอคือสะพานข้ามแม่น้ำขาด ทำให้เขาและสุนัขต้องลงไปผืนน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก เพื่อฝ่าอุปสรรคนี้ไป
14. เมื่อเขาพาทีมสุนัขไปถึงเมืองมินโต ตอนตีสาม ใบหน้าของเขาบางส่วนก็ถูกความเย็นกัดจนกลายเป็นสีดำจากอาการหิมะกัด ทำให้เขาต้องหยุดพักชั่วคราวอยู่ประมาณ 4 ชั่วโมง
หลังจากนั้น เขาต้องจำใจทิ้งสุนัขไว้ 3 ตัว เพราะพวกมันอ่อนแรงเกินไปและไม่สามารถเดินทางไปต่อได้ เขาออกเดินทางต่อด้วยสุนัขที่เหลือ 8 ตัว ในรอบวกกลับมาเขาพบว่าสุดท้ายสุนัข 3 ตัวที่ถูกทิ้งไว้ได้ตายลงแล้ว และยังมีรายงานว่าสุนัขอีก 1 ตัวที่เหลืออาจเสียชีวิตในเวลาต่อมาด้วย
15. ไม้ที่สองต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่ลดลงเหลือ -49 °C ความหนาวเย็นทำให้ต้องราดน้ำร้อนลงบนมือของนักขับเลื่อน เพื่อให้มือหลุดจากแฮนด์ของรถเลื่อนเลยทีเดียว และแม้การส่งต่อเซรุ่มจะดำเนินไปได้สำเร็จทีละไม้ แต่จำนวนผู้ป่วยในโนมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แถมเสบียงในเมืองโนมหมดลง ถึงขนาดที่นักข่าวท้องถิ่นคนหนึ่งเขียนบรรยายว่าความหวังทั้งหมดอยู่ที่ทีมสุนัขแล้ว
16. สถานการณ์ยิ่งทวีความกดดัน ผู้ว่าการรัฐอะแลสกามีคำสั่งเร่งด่วนให้ผู้ขับเลื่อนที่มีประสบการณ์สูงเข้ามารับช่วงทันทีเพื่อให้การส่งเซรุ่มทำได้เร็วขึ้น หนึ่งในนั้นคือ เลออนฮาร์ด เซปพาลา (Leonhard Seppala) ผู้เป็นที่ยอมรับในฝีมือการควบคุมทีมสุนัขลากเลื่อนได้เก่งกาจ
17. เขามีสุนัขนำทีมคู่ใจชื่อ โทโก (Togo) มันได้รับการยกย่องว่าแข็งแกร่ง อดทน และช่ำชองเส้นทางหิมะมากที่สุดในอะแลสกา เขาออกจากเมืองโนมไปรับเซรุ่มและกลับมาส่งโดยใช้เส้นทางที่ยาวที่สุดและอันตรายที่สุด คือการข้าม นอร์ตันซาวด์ (Norton Sound) ผืนน้ำแข็งขนาดมหึมาที่ทอดตัวยาวกลางทะเลเบริง ซึ่งหากน้ำแข็งแตกร้าวเพียงนิดเดียว อาจหมายถึงความตายของทั้งคนและสุนัขเลยก็เป็นได้
18. แม้จะเสี่ยงอันตราย แต่ทีมของเขาแสดงความกล้าหาญและความอึดที่น่าเหลือเชื่อ พวกเขาฝ่าอันตรายด้วยการเดินทางระยะทางไป-กลับ รวมแล้วกว่า 420 กิโลเมตร ซึ่งปกติต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ แต่พวกเขาสามารถทำมันได้ภายในเวลาเพียง 5 วันครึ่งเท่านั้น
19. หลังจากเซปพาลาส่งต่อเซรุ่มแล้ว การวิ่งผลัดก็ใกล้สิ้นสุดลง ในช่วงไม้สุดท้ายที่กูนาร์ คาเซนเป็นผู้รับไม้ เขาต้องเจอกับพายุที่รุนแรงจนแทบมองไม่เห็นสุนัขของตัวเองแล้วด้วยซ้ำ แต่สุนัขซึ่งนำโดยเจ้า บัลโต และทีมของมัน ก็สามารถพาทีมฝ่าพายุเข้าไปถึงโนมได้สำเร็จในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1925 ทำให้เมืองได้รับเซรุ่มทันเวลาและสามารถหยุดการระบาดของคอตีบได้สำเร็จ โดยไม่มีหลอดเซรุ่มแตกแม้แต่หลอดเดียว
20. ข่าวการนี้แพร่สะพัดไปทั่วอเมริกา จนเจ้าบัลโตกลายเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ มีการสร้างอนุสาวรีย์ของบัลโตที่ เซ็นทรัลพาร์ก ในนิวยอร์ก เพื่อระลึกถึงภารกิจอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้
( เรื่องของคุณเลออนฮาร์ด และเจ้าโทโก โด่งดังในภายหลังเพราะวิ่งในเส้นทางที่มหาโหดมาก )
21. ปาฏิหาริย์ที่เมืองโนม (Great Race of Mercy) เป็นบทพิสูจน์ความเสียสละและกล้าหาญ ของทั้งมนุษย์และเพื่อนคู่ใจสี่ขา ที่สามารถเอาชนะธรรมชาติอันโหดร้ายเพื่อรักษาชีวิตของผู้คนนับพันเอาไว้ได้ เพราะถ้าพวกเขาไม่ทำงานกันอย่างหนักวิ่งผลัดไม่รู้วันรู้คืน ต้องมีคนเสียชีวิตมากกว่านี้แน่ๆ หรือไม่ทั้งเมืองก็อาจจะติดโรคไปหมดแล้ว
22. นับรวมระยะทางทั้งหมดแล้ว ทีมต่างๆ ร่วมกันเดินทางเป็นระยะทางกว่า 1,085 กิโลเมตร ในเวลา 127 ชั่วโมงครึ่ง ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบสุดขั้ว ในสภาพพายุหิมะและลมแรงระดับพายุเฮอริเคน มีสุนัขหลายตัวเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง
เรื่องราวนี้ยังคงถูกเล่าในฐานะหนึ่งในปาฏิหาริย์ที่เกิดจากมนุษย์และเพื่อนรัก 4 ขาท่ามกลางพายุหิมะ ที่จะไม่มีวันเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์…
**เนื้อหาเรียบเรียงโดย The Wild Chronicles ไม่อนุญาตให้คัดลอกเนื้อหาบทความเพื่อเผยแพร่ต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาต
#TWCHistory #TWCUSA #TWC_Salmon
0 Comment