มัสยิดจีนแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ เมืองคาราโคล ประเทศคีร์กีซสถาน ซึ่งหลายคนคงเกิดคำถามในใจมากมายว่า มัสยิดแบบจีนเป็นอย่างไร ? แล้วทำไมมาตั้งอยู่ในประเทศสุดแปลกแบบคีร์กีซสถาน ?

หากย้อนกลับไปในอดีต มีผู้ลี้ภัยชาวจีนที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือที่เรียกว่า ‘กลุ่มชาวดุงกัน’ ได้ลี้ภัยจากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศจีนจากเหตุการณ์กบฏดุงกันในปี ค.ศ. 1862-1877 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่จีนแถบตะวันตก การประท้วงของชาวดุงกันมาจากความปรปักษ์กันเรื่องชาติพันธุ์ เรื่องชนชั้น และความขัดแย้งทางศาสนา

โดยฝั่งชาวดุงกัน หรือที่อาจจะเคยได้ยินในชื่อ ชาวฮุย พวกเขาต้องการที่จะต่อต้านราชวงศ์ชิงที่ปกครองอยู่ในตอนนั้นเพราะเหตุผลเรื่องความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ชนชั้น ศาสนา ซึ่งผู้ว่าการมณฑลในตอนนั้นได้บอกรัฐบาลว่าชาวดุงกันได้ทำพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนมากมาย ทั้งอาละวาดไปทั่ว โจมตีชาวฮั่นที่ไม่ใช่มุสลิม ขนาดพ่อค้าขายหมูในตลาดก็ยังโดน (ซึ่งความจริงชาวดุงกันอาจจะไม่ได้ทำเช่นนั้นจริง) ทางรัฐบาลจึงเชื่อว่าชาวดุงกันโหดร้ายมาก จึงตกลงกับผู้ว่าการมลฑลว่าจะลงโทษชาวดุงกัน หรือ ชาวฮุย ให้รุนแรงกว่าปกติเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู

จากนั้นเรื่องก็ยังไม่จบ ได้เกิดสถานการณ์ความวุ่นวายสุดโต่งตามมา ชาวดุงกันโดนโจมตีไม่หยุดหย่อนทั้งจากรัฐบาลและจากประชาชนทั่วไป จนทำให้ชาวดุงกันนั้นเสียชีวิตไปเยอะมาก บางคนก็สามารถหนีอพยพออกไปได้ทัน

โดยพวกเขาเริ่มอพยพกันตอนต้นปี ค.ศ. 1880 ชาวดุงกันเริ่มอพยพไปแถบรัสเซียก่อน มีหลายคนที่เสียชีวิตระหว่างการเดินทางจากความหนาวเย็นและความอดอยาก มีเพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่สามารถเดินทางไปยัง เมืองคาราโคล ประเทศคีร์กีซสถาน ได้สำเร็จ หลังจากที่เดินทางมาถึง ชาวคีร์กีซก็ได้ต้อนรับชาวดุงกันอย่างอบอุ่น จนพวกชาวดุงกันได้เริ่มตั้งถิ่นฐานที่เมืองแห่งนี้

พออยู่ไปซักระยะ ก็เริ่มเกิดความเป็นชุมชนขึ้นมา มีการสร้างสิ่งก่อสร้างมากมาย ซึ่งก็มีสถาปนิกชาวจีนท่านหนึ่ง เป็นหนึ่งในชาวดุงกัน ได้คิดริเริ่มสร้างมัสยิดขึ้นมาเพื่อรองรับความสะดวกให้พวกพ้องชาวจีนมุสลิมด้วยกันเอง

ด้วยความที่คนสร้างก็เป็นคนจีน และสร้างเพื่อพวกพ้องที่เป็นคนจีน การสร้างมัสยิดจึงเป็นไปตามคติการสร้างของคนจีน…หน้าตาอาคาร ลูกเล่นต่างๆ ในอาคาร ล้วนแสดงความเป็นจีนออกมาอย่างเด่นชัด จนบางคนก็เคยเผลอมองว่านี่คือวัดหรือเปล่า แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ ที่นี่แค่เป็นมัสยิดที่ไม่เหมือนใครเท่านั้นเอง

ในขั้นตอนการสร้างเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907 สถาปนิกชาวจีนจากปักกิ่ง ร่วมมือกับช่างแกะสลักระดับปรมาจารย์อีก 20 คน เพื่อสร้างอาคารนี้ขึ้นมา วัสดุในการสร้างนั้นใช้ต้นสนจากเทือกเขาเทียนซาน ต้นเอล์ม ต้นป็อปลาร์ในท้องถิ่น และสิ่งที่น่าเหลือเชื่อของการสร้าง คือ การไม่ใช้ตะปูสักอันในการก่อสร้างเลย ทุกส่วนของอาคารเชื่อมต่อโดยการวางวัสดุให้ตรงร่อง หรือการตัดวัสดุให้เชื่อมกัน

คติการออกแบบอาคารก็จะต้องสร้างตามประเพณีสถาปัตยกรรมจีน ซึ่งทำให้ที่นี่มีหอคอยสุเหร่าที่หน้าตาเหมือนเจดีย์ไม้ มีกงล้อไฟที่แสดงถึงอดีตของชาวดุงกันในยุคก่อนอิสลามและชาวพุทธ มีการตกแต่งลวดลายชายคาด้วยฉากจากเทพนิยายจีนโบราณอย่าง มังกร นกฟินิกซ์ สิงโต ส่วนสีในอาคารที่ใช้ตกแต่งมัสยิดแห่งนี้นั้นก็มีความหมายตามฉบับแบบชาวจีน โดย สีแดงหมายถึงการป้องกันวิญญาณชั่วร้าย สีเหลืองหมายถึงการสะสมความมั่งคั่ง สีเขียวหมายถึงความสุข เป็นต้น

มัสยิดจีนแห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้างถึง 6 ปีจึงแล้วเสร็จ หน้าตาของมัสยิดแบบจีนแห่งนี้ดันออกมาคล้ายกับวัดพุทธแบบจีน แต่สิ่งนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะมัสยิดแห่งนี้มีความสำคัญมากต่อชาวอิสลามทุกคนในเมืองคาราโคล ไม่ใช่เพียงแค่ชาวดุงกัน และเป็นมัสยิดที่น่าประหลาดใจแต่สวยงาม พาให้นักท่องเที่ยวอยากจะมาเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย