ภาพจำของ “ทะเลทราย” คงหลีกไม่พ้นฉากทัศน์ของผืนทรายสีทองสุดกว้างใหญ่ที่ปรากฏมาพร้อมกับแสงจากดวงอาทิตย์ที่แผดเผาลงมาอย่างไม่ปรานี เนื่องเพราะทะเลทรายถูกยกเป็นสื่อแทนของความแห้งแล้งโดยสมบูรณ์ แน่นอนว่า “ทะเลทรายวาร์ซาเนห์” (Varzaneh Desert) หรือหนึ่งในมหาทะเลทรายที่ยึดครองพื้นที่ไปกว่า 22% ของประเทศอิหร่าน (Iran) ก็ไม่ได้มีข้อยกเว้น

แต่ทว่าเสน่ห์ของทะเลทรายวาร์ซาเนห์ที่ดึงดูดใจให้เหล่านักเดินทางยุคแล้วยุคเล่าต่างมุ่งหน้าออกมาเผชิญ กลับเป็นภาพผืนทรายยามสนธยาที่แสงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้าไปจนความมืดคืบคลานเข้ามาแทนที่

เมื่อแสงที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์มิได้เยื้องกรายเข้ามาถึงทะเลทรายแห่งนี้ ท้องฟ้ายามราตรีเหนือผืนทรายวาร์ซาเนห์จึงสามารถเห็นดวงดาวได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนเดือนมืดที่ไร้ซึ่งหมู่เมฆหรือแสงรบกวนใดๆ และหากมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็จะสามารถมองเห็นทางช้างเผือกพาดผ่านแบบเต็มตาได้เลย

นอกจากค่ำคืนเหนือทะเลทรายวาร์ซาเนห์จะมอบประสบการณ์การดูดาวที่ไม่เหมือนใครท่ามกลางภูมิประเทศทะเลทรายอันเงียบสงบให้แล้ว ทัศนียภาพของแผ่นฟ้าและผืนทรายที่ทอดยาวไปจรดกันตรงเส้นขอบฟ้าภายใต้แสงดาวก็ยังเป็นอีกหนึ่งภาพจำของทะเลทรายที่จะตรึงใจได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทะเลทรายภายใต้แสงตะวัน