หากพูดถึง “น้ำหอม” ของเหลวที่ให้กลิ่นที่น่าดึงดูด กลิ่นที่ผู้คนมักคุ้นมากที่สุดก็คือ กลิ่นหอมของดอกกุหลาบ ดอกไม้แห่งความรักที่ให้กลิ่นหอมและความรู้สึกแห่งความรัก

แต่ท่านทราบหรือไม่? ว่า “น้ำหอมกุหลาบ” มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี นับตั้งแต่ยุคเปอร์เซียโบราณ จนทำให้ชาวอิหร่านในปัจจุบันยังคงรักษาความผูกพันกับกุหลาบไว้ และได้กลายเป็นดอกไม้ประจำชาติของพวกเขา

แถมเปอร์เซียยังได้แผ่ขยายวิธีการทำน้ำหอมกุหลาบไปยังทั่วทุกมุมโลก ซึ่งที่หนึ่งที่น่าสนใจเลยก็คือ ประเทศบัลแกเรีย

The Wild Chronicles ขอพาท่านย้อนเรื่องราวของ จุดเริ่มต้นที่มนุษย์ได้เริ่มทำ “น้ำหอมกุหลาบ” ขึ้น และถ่ายทอดวิทยาการจนกลายเป็น “น้ำหอมกุหลาบ” อันทรงคุณค่า

1. ต้นกำเนิดของน้ำหอมจากกุหลาบเราต้องย้อนกลับ
ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในยุคสมัยเปอร์เซียโบราณ หรือกว่า 2,000 ปีก่อน ซึ่งเชื่อกันว่า แถบกัมซาร์ จังหวัดอิสฟาฮาน ของประเทศอิหร่านในปัจจุบัน เริ่มปลูกกุหลาบสายพันธ์ุดามัสก์ (Damask Rose) ซึ่งเป็นกุหลาบสายพันธุ์ที่มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษและนิยมใช้ในการผลิตน้ำหอม โดยคนอิหร่านเรียกดอกกุหลาบพันธุ์นี้ว่า “กุล โมฮัมมาดี” (gol mohamadi)

2. ภาษาเปอร์เซียโบราณเรียกน้ำดอกกุหลาบในชื่อ กุหลาบ”gulāb” ซึ่งมาจากคำว่า กุล (gul) ที่แปลว่า “กุหลาบ” และ “อาบ” หรือ “อับ” ที่แปลว่า “น้ำ” (ภาษาไทยนำคำนี้จากเปอร์เซียมาเรียกดอกกุหลาบ)

ส่วนคำที่ใช้เรียกน้ำมันกุหลาบ ส่วนผสมสำคัญในการทำน้ำหอม ในภาษาเปอร์เซียโบราณนั้นมีการใช้คำที่แตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้วเรียกว่า “โรแกน กุล” (roghan-e gol) ซึ่งแปลตรงตัวว่า “น้ำมันกุหลาบ” หรือใช้คำว่า “อัตตาร์” (attar) ซึ่งเป็นคำที่โลกอิสลามใช้เรียกน้ำมันหอมระเหยกันทั่วไป

3. วิธีการสกัดกลิ่นหอมจากกุหลาบในยุคแรกๆ นั้น มีเทคนิคที่ไม่ซับซ้อนมาก เช่น การต้มดอกกุหลาบทั้งดอกเพื่อสร้างบาล์มที่มีสรรพคุณในการรักษาและให้กลิ่นหอม นอกจากนี้การแช่หรือการหมักดอกกุหลาบในน้ำมัน ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการสกัดกลิ่นหอมได้

4. การสกัดน้ำหอมสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เมื่อนักปราชญ์ชาวเปอร์เซียในศตวรรษที่ 10 ได้ค้นพบกระบวนการกลั่นด้วยไอน้ำเพื่อสกัดน้ำมันหอมระเหยและน้ำดอกกุหลาบจากดอกไม้

โดยน้ำมันกุหลาบ (Rose oil) ที่สกัดได้กลายเป็นส่วนประกอบหลักของน้ำหอมในเปอร์เซียและทั่วโลกในเวลาต่อมา ด้วยกลิ่นที่เข้มข้นและคงทน ทำให้น้ำมันกุหลาบเป็นที่ต้องการในวงการน้ำหอมชั้นสูง ผลพลอยได้จากการสกัดไอน้ำคือ น้ำกุหลาบ (Rose water) ซึ่งถูกนำไปใช้ในด้านอื่นๆ เช่น การปรุงอาหาร การแพทย์ และพิธีกรรม ซึ่งเพิ่มมูลค่าของกระบวนการผลิต

ด้วยคุณสมบัติหลายประการนี้ ชาวเปอร์เซียโบราณจึงให้ความเคารพต่อน้ำมันหอมระเหยกุหลาบเป็นอย่างสูง โดยถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความหรูหรา และใช้ในศาสนพิธีต่างๆ ทั้งยังสามารถใช้ในด้านการแพทย์ได้อีกด้วย

5. อาณาจักรเปอร์เซียโบราณถือเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้า ทำให้วัฒนธรรมของเปอร์เซียแพร่หลายออกไปในหลายภูมิภาคจากบรรดาพ่อค้าที่เดินทางมาค้าขายกับเปอร์เซีย รวมถึงความรู้และเทคนิคในการสร้างสรรค์กลิ่นหอมจากกุหลาบ ที่ได้กระจายไปทั่วโลกอิสลาม อินเดีย และเข้าสู่ทวีปยุโรป

กุหลาบอิหร่านในโลกอิสลามนั้นสำคัญยิ่ง โดยพวกเขาเชื่อว่าน้ำดอกกุหลาบเปอร์เซียจากเมืองคาชานเป็นน้ำดอกกุหลาบที่ดีที่สุด ถึงขั้นนำน้ำผสมน้ำหอมกุหลาบไปชะล้างหินศักดิ์สิทธิ์กะอ์บะฮ์ในนครเมกกะทุกๆ ปี

6. นอกจากนี้ ความรู้เกี่ยวกับการผลิตน้ำหอมกุหลาบของเปอร์เซียได้แพร่ขยายมาสู่อินเดียในช่วงจักรวรรดิโมกุล จักรพรรดิโมกุลทรงให้ความสำคัญกับน้ำมันกุหลาบและน้ำดอกกุหลาบอย่างมาก โดยนำไปใช้ในพิธีกรรม และการแพทย์ จนถึงในศตวรรษที่ 17 มีการเพาะปลูกกุหลาบในอินเดียอย่างแพร่หลาย

7. ส่วนฝั่งยุโรป น้ำหอมกุหลาบเริ่มแพร่หลายในช่วงสงครามครูเสด และมีคนนำดอกกุหลาบดามัสก์จากซีเรีย (ซึ่งต้นกำเนิดจริงๆ อยู่ที่อิหร่าน) ไปปลูกในยุโรปจนแพร่หลาย

8. หากกล่าวถึงพื้นที่ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องกุหลาบมากที่สุด ก็คือ หุบเขากุหลาบ (Rose Valley) เมืองคาซานลัค ประเทศบัลแกเรีย ซึ่งพวกเขาเริ่มปลูกกุหลาบชนิดนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เพื่อนำมาสกัดเป็นน้ำมันกุหลาบ โดยการสกัดจะต้องใช้เทคนิคเฉพาะ ที่คิดค้นและเริ่มต้นทำโดยชาวคาซานลัค

9. น้ำหอมกุหลาบจากชาวคาซานลัคเป็นสินค้าที่มีคุณค่าและมีราคาค่อนข้างสูง เพราะพวกเขาคัดกลีบกุหลาบแต่ละกลีบโดยการใช้มือเด็ดในตอนเช้าเท่านั้น เพื่อรักษาคุณภาพความหอมของกุหลาบไว้ และปริมาณกลีบกุหลาบที่สามารถสกัดออกมาเป็นน้ำมันได้นั้นต้องใช้ปริมาณที่เยอะมาก เพราะน้ำมันกุหลาบเพียงแค่ 1 มิลลิกรัม จะต้องใช้กลีบกุหลาบมากถึง 50,000 กลีบ

10. แต่คุณสมบัติของน้ำหอมกุหลาบที่มาจากหุบเขาแห่งนี้ จะมีความหอมมากๆ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากนำไปใช้ในเรื่องทางการแพทย์จะสามารถลดความวิตกกังวล ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น หากนำไปใช้ในเรื่องความสวยความงาม ก็นิยมนำไปทำพวกสบู่ ครีม หรือโดยเฉพาะ น้ำหอม ซึ่งกลายเป็นส่วนผสมที่นิยมมากๆ ในหมู่แบรนด์ชั้นนำของโลก เช่น นำไปทำน้ำหอม กลิ่น Rose Prick แบรนด์ Tom Ford, กลิ่น Red Roses Cologne แบรนด์ Jo Malone London กลิ่นของส่วนผสมนี้จะให้ความรู้สึกหอมเย้ายวน พร้อมกับให้ความรู้สึกสดชื่นไปในตัว

11. การผลิตน้ำหอมกุหลาบจึงกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของชาวคาซานลัค และมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต วัฒนธรรม และประเพณีของพวกเขาจนถึงปัจจุบัน โดยในปี 1903 เมืองคาซานลักได้เริ่มจัดงานเฉลิมฉลองเกี่ยวกับกุหลาบเป็นครั้งแรก งานนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ชาวสวนจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ใช้เวลาปลูกมาทั้งปีได้ และนำผลผลิตไปสกัดเป็นน้ำมันกุหลาบ ซึ่งสามารถสร้างรายได้มหาศาลให้แก่พวกเขา

12. เราเรียกเทศกาลนี้ว่า “เทศกาลกุหลาบ” (Rose Festival) โดยเทศกาลยังคงจัดต่อเนื่องจนถึงปี 2025 ซึ่งชาวคาซานลัคยังคงจัดงานเฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่อย่างเป็นปีที่ 122 เพื่อเฉลิมฉลองความเจริญงอกงามและขอบคุณดินฟ้าอากาศที่อำนวยพรให้พวกเขาสามารถปลูกกุหลาบดามัสก์ได้เจริญงอกงาม

เทศกาลกุหลาบจึงเป็นการบ่งบอกและสะท้อนถึงอัตลักษณ์ วิถีชีวิตของคนแถบถิ่นนี้ได้เป็นอย่างดี คุณค่าที่สร้างจากความสวยสดงดงามและประโยชน์จากธรรมชาติสู่สายตาชาวโลก

ดังนั้น หากทุกท่านต้องการน้ำหอมที่ขึ้นชื่อด้านความหอมและมีเรื่องราวอันยาวนาน เพื่อเป็นของขวัญให้ตัวเองหรือใครสักคน น้ำหอมกุหลาบของประเทศอิหร่านและประเทศบัลแกเรียนับว่าตอบโจทย์เป็นอย่างยิ่ง!

13. อยากให้ทุกท่านทราบว่า ตอนนี้ The Wild Chronicles กำลังจัดทัวร์ “เทศกาลกุหลาบ” (Rose Festival) เพื่อพาท่านได้เข้าร่วมเทศกาลกุหลาบ ณ เมืองคาซานลัค พร้อมเที่ยวสถานที่ไฮไลท์ของประเทศโรมาเนียและบัลแกเรียได้อย่างเต็มอิ่มจุใจ

หากท่านใดสนใจขอโปรแกรม สามารถติดต่อได้ทาง inbox หรือแอด LINE OA ได้ที่ @thewildchronicles (พิมพ์ @ ด้านหน้า) และพิมพ์ว่า “สนใจทัวร์บัลแกเรีย” ได้เลยครับ

14. แถมเรายังมีทัวร์ไปอิหร่าน! โดยทัวร์รอบนี้เราจะพาท่านไปเก็บสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในประเทศอิหร่าน ที่จะทำให้ท่านเข้าใจความเป็นไปของ ‘ประเทศอิหร่าน’ แบบครบจบในที่เดียว

หากท่านใดสนใจขอโปรแกรม สามารถติดต่อได้ทาง inbox หรือแอด LINE OA ได้ที่ @thewildchronicles (พิมพ์ @ ด้านหน้า) และพิมพ์ว่า “สนใจทัวร์อิหร่าน” ได้เลยครับ

#TWCHistory #TWCIran #TWCBulgaria #TWC_Salmon