หากพงศาวดารแห่งมนุษยชาติทั้งมวล จะมีตำนานสักเรื่องที่ชวนให้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่เคล้าดราม่าของการปะทะกันระหว่างสองอารยธรรมโบราณ คงต้องมีเรื่องราวระหว่างการเผชิญหน้ากันของเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิอะคีเมนิด (Achaemenid Empire) อย่าง “เปอร์เซโปลิส” (Persepolis) กับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander The Great) แห่งอาณาจักรมาซิโดเนีย (Macedonia) อยู่เป็นแน่
เมื่อเอ่ยถึงพระนามของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างอเล็กซานเดอร์มหาราช แน่นอนว่าย่อมเป็นทื่คุ้นหูของใครหลายคน ทว่าแล้วชื่อของเมือง เปอร์เซโปลิส ล่ะ?
เปอร์เซโปลิส เป็นชื่อที่มาจากการเรียกขาน “เมืองของชาวเปอร์เซีย” โดยชาวกรีกโบราณ ซึ่งเกิดจากการผสมคำในภาษากรีกระหว่าง เปอร์เซส (Pérsēs) และ โปลิส (pólis) ที่แปลได้ว่า เมืองเปอร์เซีย ส่วนชื่อเรียกเดิมที่ออกเสียงคล้ายกันอย่าง ปาร์ซา (Pārsa) หรือแม้แต่ชื่อเรียกที่อยู่ในคำจารึกอย่าง ซัดสทูน (Sad-stūn) ที่แปลว่า เสาหลักร้อย กลับค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา
และนี่อาจฟังดูน่าตลก แต่เชื่อหรือไม่ว่า ชาวกรีกผู้อยู่ร่วมยุคสมัยภายใต้การปกครองของอเล็กซานเดอร์มหาราชเอง ก็แทบไม่รู้จักเมืองนี้
เนื่องจากพระเจ้าดาริอุสที่ 1 (Darius I) หรือพระเจ้าดาริอุสมหาราช (Darius the Great) แห่งจักรวรรดิอะคีเมนิด (Achaemenid Empire) ทรงตั้งพระทัยจะเลือกที่ตั้งของเมืองหลวงใหม่ของเปอร์เซียแห่งนี้ให้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่ว่าจะด้วยเหตุเพราะต้องการเลี่ยงความขัดแย้งหลังจากพระองค์เพิ่งทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน หรือเพราะความพยายามจะทำให้รัชสมัยของพระองค์แตกต่างไปกษัตริย์พระองค์ก่อนๆ ก็ตาม
นั่นไม่เพียงทำให้ห่างจากเมืองหลวงเก่าอย่างปาร์ซากาแด (Pasargadae) เท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เปอร์เซโปลิสห่างไกลจากการรับรู้ของประชาชนทั่วไปอีกด้วย
อย่างไรก็ดี หลักฐานทางโบราณคดีในอดีตได้ชี้ให้เห็นว่า ครั้งหนึ่งเปอร์เซโปลิสเคยเป็นเมืองหลวงของจักวรรดิอะคีเมนิดอันรุ่งโรจน์ ที่มีตัวแทนจากดินแดนต่างๆ พากันเดินทางมาแสดงความเคารพต่อกษัตริย์เปอร์เซีย โดยสังเกตได้จากภาพสลักนูนต่ำที่ประดับประดาบริเวณพระราชวังอันโออ่าที่ตั้งอยู่บนระเบียงยกสูงขนาดใหญ่ ณ ใจกลางเมืองเปอร์เซโปลิส
นอกเหนือจากนั้น ยังมีห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีเสาสูงตระหง่านและงานแกะสลักอันปราณีต ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้จัดงานเลี้ยงรับรองแขกและพิธีกรรมอันยิ่งใหญ่ ก็นับเป็นอีกเครื่องพิสูจน์ถึงอัจฉริยภาพทางสถาปัตยกรรมของชาวเปอร์เซียโบราณและอำนาจอันล้นเหลือขององค์จักรพรรดิแห่งอะคีเมนิด
หลังจากพระเจ้าดาริอุสที่ 1 สิ้นพระชนม์ลง พระเจ้าเซอร์ซีสที่ 1 (Xerxes I) หรือพระเจ้าเซอร์ซีสมหาราช (Xerxes the Great) ก็ทรงสานต่อเจตนารมณ์ของพระราชบิดาทั้งโครงการก่อร่างเมืองเปอร์เซโปลิส รวมไปถึงการกลับไปรุกรานกรีซอีกครั้ง หลังจากที่พระเจ้าดาริอุสที่ 1 เคยพ่ายแพ้อย่างหมดรูปต่อกองทัพเอเธนส์ในยุทธการมาราธอน (Battle of Marathon) มาก่อน
แน่นอนว่า การรบแก้มือแทนพระราชบิดาของพระเจ้าเซอร์ซีสที่ 1 ประสบความสำเร็จ พระองค์ทรงสามารถเอาชนะกองทัพชาวกรีกได้ ซึ่งกองทัพเปอร์เซียในครั้งนั้นได้ปล้นสะดมหมู่บ้านชาวกรีกและเผาเมืองเอเธนส์จนวอด ซึ่งนั่นรวมไปถึงวิหารพาร์เธนอน (Parthenon) ด้วย
ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุใดนักประวัติศาสตร์จึงพากันตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์นี้เองน่าจะเป็นแรงจูงใจหลักที่ทำให้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชตัดสินใจเผาเมืองเปอร์เซโปลิส ในวันที่พระองค์สามารถพิชิตดินแดนแห่งนี้ เพื่อเป็นการตอบโต้การเผากรุงเอเธนส์ในครั้งนั้น
เชื่อกันว่า ในวันที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยาตราทัพมาถึงเมืองเปอร์เซโปลิส พระองค์ทรงมอบเมืองนี้ให้เหล่าทหารแห่งกองทัพมาซิโดเนียสามารถบุกปล้นสะดมได้ตามอำเภอใจ และในค่ำคืนนั้นเองก็ได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะขึ้น ณ บริเวณพระราชวังฮาดิช (Hadish Palace) อันเคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าเซอร์ซีสที่ 1 โสเภณีชาวเอเธนส์รายหนึ่งได้กล่าวยุยงให้พระองค์จุดไฟเผาพระราชวังแห่งนี้ว่า หากอเล็กซานเดอร์ทรงออกคำสั่งให้เผาพระราชวังเปอร์เซีย พระองค์จะได้รับความภักดีจากชาวกรีกทั้งมวลอย่างสุดซึ้ง
“ทำไมเราไม่ล้างแค้นแทนกรีซ แล้วเผาเมืองนี้ด้วยคบเพลิงเสียเล่า?”
สิ้นพระสุรเสียงของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชที่ตรัสออกมาด้วยฤทธิ์สุราผสมความบ้าคลั่งเพียงไม่นาน ก็ทรงเป็นผู้นำจุดไฟเผาพระราชวังแห่งนี้ด้วยพระองค์เอง ตามด้วยเหล่าบริวารนักดื่มของพระองค์ จากนั้นเปลวเพลิงก็ลุกลามปกคลุมไปทั่วเมืองเปอร์เซโปลิส และนั่นก็คือจุดสิ้นสุดของพระราชวังที่เคยปกครองดินแดนแห่งจักรวรรดิอะคีเมนิดอันไพศาลแห่งนี้
แต่ไม่ว่าแรงจูงใจในการเผาเมืองเปอร์เซโปลิสที่แท้จริงของอเล็กซานเดอร์มหาราชจะเป็นอย่างไร การล่มสลายของเปอร์เซโปลิส ก็นับเป็นการสูญเสียผลงานทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าในแขนงต่างๆ จำนวนมหาศาลอย่างเช่น ศิลปะ ศาสนา และวัฒนธรรมของเปอร์เซียโบราณ ให้กับกองไฟลุกโชนในวันนั้นอย่างที่ไม่มีอะไรจะสามารถทดแทนได้
ซากปรักหักพังของเปอร์เซโปลิสที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีในวันนี้ นอกจากจะเป็นเครื่องยืนยันว่า ไม่มีอาณาจักรใดคงอยู่ตลอดไป เท่านั้น แต่ยังคอยเตือนใจเราด้วยว่า การคงอยู่ของเมืองแห่งนี้ในหน้าประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของอารยธรรมมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง
#TWCIranClassic
#TWCTravel
0 Comment