ราษฏรปติภวัน เป็นอาคารที่พักของประธานาธิบดีอินเดีย จุดมุ่งหมายของการสร้างอาคารนี้มาจากประโยคที่ว่า “อินเดียควรได้รับการปกครองจากพระราชวัง ไม่ใช่จากบ้านชนบททั่วไป” จากนั้นจึงมีการสร้างคฤหาสน์ในที่ดิน 10,120 ไร่ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของประธานาธิบดีอินเดีย
 
แต่กว่าจะมาเป็นอาคารอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน เรื่องการสร้างและออกแบบ ไม่ได้มีเส้นทางที่เรียบง่าย เพราะการก่อสร้างครั้งนี้มีการถกเถียงเรื่องสถาปัตยกรรมกันมากมาย
 
ซึ่งในช่วงแรกอาคารนี้ได้รับการออกแบบโดย เซอร์ เอ็ดวิน ลุทเยนส์ และ เซอร์ เฮอร์เบิร์ต เบเกอร์ ทั้งคู่เป็นสถาปนิกชาวอังกฤษ ในช่วงแรกๆ ทั้งคู่ก็ทำงานด้วยกันอย่างราบรื่น…แต่สุดท้ายแนวคิดของลุทเยนส์เริ่มแตกต่างจากเบเกอร์ เนื่องจากลุทเยนส์เน้นการออกแบบสถาปัตยกรรมแนวคลาสสิก ซึ่งจะให้ความรู้สึกแบบยุโรปมากเกินไป ลุทเยนส์จึงโดนกระแสต่อต้านจากคนทั่วไป เพราะการออกแบบเช่นนี้มันเปรียบเสมือนไปดูถูกประเพณีการสร้างอาคารของท้องถิ่น เนื่องจากลุทเยนส์ไม่ได้ออกแบบอะไรที่สื่อถึงความเป็นอินเดียเลย
 
ทว่าหลังจากเกิดถกเถียงกันจนได้ข้อสรุปว่าควรสร้างตามศิลปะแบบใดถึงจะเหมาะสมที่สุด ลุทเยนส์ก็จึงยอมผสมผสานลวดลายอินโด-ซาราเซนิก สถาปัตยกรรมท้องถิ่นของอินเดีย เข้าไปในการออกแบบครั้งนี้ แต่ถึงอย่างไรก็จะยังคงความเป็นสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิกเอาไว้ด้วย เรียกได้ว่าการออกแบบครั้งนี้ได้ผสมผสานทั้งความเป็นอินโดและความเป็นอินเตอร์กันเลยทีเดียว
 
***สถาปัตยกรรมสไตล์อินโด-ซาราเซนิก ที่เห็นได้แบบชัดเจน อยู่ตรงไหนบ้าง?***
เริ่มจากส่วนโดมที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่ตรงกลางอาคารกันก่อน โดมนี้มีทรงเป็นอ่างกลมๆ เป็นรูปร่างโดมที่เป็นเอกลักษณ์ของสไตล์อินโด-ซาราเซนิก มีธงประเทศอินเดียตั้งอยู่บนยอดโดม ซึ่งถึงจะเป็นโดมสไตล์อินโด แต่ทางลุทเยนส์กลับบอกว่าเขาได้รับแรงบัลดาลใจมาจากโดมของวิหารแพนธีออนแห่งโรมต่างหาก……
 
และหากถัดลงมาจากโดม จะพบชายคาที่ยื่นออกมา มีลักษณะแบนราบ ซึ่งสิ่งนี้เป็นการสร้างชายคาสไตล์ดั้งเดิมของอินเดีย เรียกว่าชัจจา
 
อีกทั้งบนหลังคาเราอาจจะสังเกตเห็นองค์ประกอบที่มีลักษณะคล้ายๆ ศาลาเต็มไปหมด สิ่งนั้นเรียกว่า ฉัตรี เป็นศาลาทรงโดมสูง สร้างเพื่อตกแต่งหลังคา ช่วยไม่ให้บนหลังคาต่างๆ ดูเรียบและน่าเบื่อเกินไป โดยการสร้างฉัตรีจะพบได้แค่ในสถาปัตยกรรมอินโด-ซาราเซนิกเท่านั้น
 
***แล้วสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิกล่ะ อยู่ตรงไหนบ้าง?***
ก่อนที่เราจะเดินเข้าอาคาร เราจะเห็นเสาต้นใหญ่ๆ เรียงรายกันอยู่ 12 เสา ด้านหน้าอาคารมีทั้งหมด 12 ต้น ส่วนด้านหลังอาคารมี 8 ต้น ซึ่งเสาทั้งหมดนี้เป็นเสาสไตล์คลาสสิก มีชื่อเรียกว่าเสาทัสคัน เป็นเสาที่ให้ความรู้สึกคล้ายเสาในสถาปัตยกรรมดอริค อิทธิพลของกรีก และเสาในสถาปัตยกรรมเรอแนซ็องส์
 
อีกทั้งการออกแบบลวดลายต่างๆ ที่อยู่บนพื้นที่ว่างรอบๆ ขอบอาคาร ลุทเยนส์นั้นได้มีการใช้เทคนิคสลักลายภาพนูนต่ำนูนสูงบนเสา
 
นอกเหนือจากภายนอกอาคารและรายละเอียดต่างๆ ที่เห็นได้ชัด ที่ราษฏรปติภวันยังมีสวนขนาดใหญ่ที่มีการออกแบบผสมผสานระหว่าง 2 สถาปัตยกรรมออกมาได้อย่างสวยงาม ซึ่งสวนนี้มีชื่อว่า “อมฤต อุดยาน” ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างและตกแต่งมาจากสวนโมกุลในชัมมูและแคชเมียร์ และสวนรอบๆ ทัชมาฮาล ผู้สร้างก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ลุทเยนส์ คนเดิมนั่นเอง
 
เริ่มแรกของการออกแบบสวน ลุทเยนส์ได้นำสไตล์การปลูกพืชที่แตกต่างกันสองแบบมารวมกันในสวนนี้ อันได้แก่ การปลูกพืชสวนสไตล์โมกุล และสไตล์อังกฤษ
 
ในส่วนของการออกแบบสวนสไตล์โมกุล ลุทเยนส์มีการเลือกปลูกต้นไซเปรส ซึ่งตามความเชื่อการสร้างสวนของชาวโมกุล ไซเปรสเป็นตัวแทนของความเป็นนิรันดร์ และมีการปลูกไม้ผลที่มีดอกซึ่งเป็นตัวแทนของการต่ออายุ อีกทั้งลุทเยนส์ยังมีการสร้างรางน้ำเป็นทางยาวรอบๆ สวน พร้อมกับสร้างน้ำพุ อันเป็นเป็นตัวแทนของการฟื้นคืนชีพ
 
และในส่วนของการออกแบบสวนแบบอังกฤษ ลุทเยนส์ได้มีการเลือกจัดวางต้นไม้ให้ห่างกัน เพื่อให้เกิดภูมิทัศน์ที่ดูกว้างขึ้น ซึ่งเป็นเทคนิคของการจัดสวนแบบอังกฤษ อีกทั้งการเลือกตกแต่งสวนด้วยแปลงดอกไม้ พุ่มไม้ที่เรียงกันเป็นแนวยาว และการปูสนามหญ้า เป็นเทคนิคการออกแบบของสวนอังกฤษเช่นกัน โดยเฉพาะพืชพรรณที่ปลูกบางชนิดก็เป็นพืชยุโรป เช่น ดอกไอริส
 
ปัจจุบัน ราษฏรปติภวัน ก็มีการเปิดบริการให้คนทั่วไปเข้าไปเยี่ยมชม โดยแบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนอาคารหลักและสนามหญ้ากลาง โซนพิพิธภัณฑ์ราษฏรปติภวัน โซนสวนโมกุล แต่ละโซนก็มีความน่าตื่นตะลึงต่างกันไป